ผมเคยสูญเสียมาแล้ว... และผมไม่อยากจะสูญเสียอะไรไปอีก
ผมเป็นคนไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง... เพราะคำว่าเปลี่ยนแปลง... ความหมายมันมีได้สองทาง... ถ้ามันไม่ได้เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น... มันก็แย่ลง...
ซึ่งในชีวิตผมส่วนใหญ่แล้ว... การเปลี่ยนแปลง มักจะแย่ลงเสมอ...
ผมถอนหายใจตลอดการเรียนช่วงบ่าย สาเหตุก็คงไม่พ้นเรื่องที่คนๆนั้นทำไว้เมื่อกลางวันนั่นแหละ... หลังจากที่เขาบอกว่าชอบ... ผมผลักเค้าออก และไล่เขาไป ตอนนั้นผมยอมรับว่าไม่รู้จะทำยังไง... ถ้าเขาพูดเล่นผมคงขำออกมาได้บ้าง... แต่แววตาที่เขามองมามันไม่ใช่... จนบางทีเมื่อผมมองลึกลงไปในแววตานั้น ผมก็กลัว...
มันไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับผม... นี่เป็นครั้งแรก... ตั้งแต่ย้ายเข้ามาที่โรงเรียนนี้แรกๆ ผมก็กันตัวเองออกจากคนอื่นแล้ว... ไม่ใช่ว่าผมหยิ่ง เพียงแค่ผมไม่อยากให้คนอื่นเข้ามาอยู่ในชีวิตผมมากเกินไปก็เท่านั้น...
ในแต่ละวันที่มาเรียน ผมก็มักจะมีแผลตามตัวมาอยู่บ่อยครั้ง... บางครั้งก็ที่หน้า บางครั้งก็เป็นแค่รอยฟกช้ำตามตัว... จนหลายคนพากันสร้างข่าวลือหนาหู ว่าผมเป็นพวกคนไม่ดี... เป็นนักเลง อันธพาล... ต่อมาผมก็เริ่มใส่แมสปกปิดใบหน้าจากการได้แผลเวลาฝึกซ้อมหรือจากการปฎิบัติหน้าที่... ซึ่งก็มีคนลือกันอีกว่าผมป่วยเป็นโรคร้ายแรง ซึ่งเรื่องมันก็ค่อยๆกระจายเป็นวงกว้าง... และทุกคนก็เริ่มที่จะกลัวผมขึ้นมาจริงๆ ผมว่ามันก็ดีนะ... ผมก็ไม่ได้อยากให้ใครมายุ่งกับเรื่องของผมนักหรอก
การอยู่คนเดียวมันดีสำหรับผมและดีสำหรับทุกคน...
ผมยังจำได้... เมื่อแปดปีก่อน ผมไม่ได้เป็นคนแบบนี้เลย... ผมจำเสียงหัวเราะของตัวเอง... จำรอยยิ้มที่จะปรากฏบนใบหน้าของผมอยู่เสมอไม่ว่ากับใคร... เมื่อก่อน... ผมเป็นแค่เด็กนักเรียนธรรมดาๆที่วิ่งเล่นอยู่ในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในประเทศไทย...
ผมเป็นแค่เด็ก... ที่ไม่เคยรู้เลย... ว่าการสูญเสียมันเป็นยังไง... และการสูญเสียมันเจ็บปวดแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง... การสูญเสียคนที่รัก
ปัง!!!!
ผมสะดุ้งเฮือกกับเสียงออดของโรงเรียนที่มักจะดังตอนหมดคาบเรียน ผมหายใจเข้าและออกลึกๆเพื่อเรียกสติตัวเอง... เสียงปืนที่ยังคงดังก้องในหัว เวลาผมคิดถึงเหตุการณ์นั้น...
เสียงปืน... ที่พรากคนที่ผมรักทุกคน...
ผมเก็บสมุดและหนังสือเรียนวิชาประวัติศาสตร์ที่มันไม่ได้เข้าหัวผมเลยลงไปในกระเป๋า ก่อนจะหยิบวิชาต่อไปขึ้นมาเตรียมไว้บนโต๊ะตัวเอง... พร้อมกับหลับตาลง
ทำไมพักนี้มีเรื่องให้คิดตลอด
“ก็คนมันชอบไปแล้ว”
เสียงของเขาดังขึ้นมาในหัวทำเอาผมต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง... เรื่องอื่นก็มีให้คิดเยอะแยะ... ทำไมจะต้องมาคิดไอ้เรื่องนี้ด้วยนะ
ทำไมมันถึงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจแปลกๆ
โชคดีที่อาจารย์เดินข้ามาสอนวิชาต่อไปแล้ว ผมเลยเบนความสนใจของตัวเองมาที่หนังสือเรียนและตัวอักษรบนกระดานที่อาจารย์กำลังเขียน...แทนใบหน้าของใครบางคน...
แต่ไม่นานผมก็กลับมาคิดเรื่องเดิมๆอีก... ทำไมนะ... ทำไมต้องเป็นเขาด้วย... และผมต้องทำยังไง... ไม่ให้ใจตัวเองยอมรับเขาเข้ามา... ผมไม่ชอบเลย การเปลี่ยนแปลง...
ตั้งแต่วันนั้น... ที่ชีวิตผมได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่พรากเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากผม... เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ผมสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง... เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ผมไม่เคยลืม ผมจำมันใส่ใจ เป็นเครื่องเตือนใจ และเป็นแรงผลักดัน...
พอนึกย้อนกลับไปทีไร... ใจผมมันก็จะโหวงๆ ผมจำวินาทีที่ผมสูญเสียได้... มันเหมือนผมจะตาย... มันเหมือนหัวใจหยุดทำงาน... มันเจ็บปวด... การมองเห็นพ่อแม่ถูกยิงต่อหน้าต่อตาโดยที่ผมทำอะไรไม่ได้เลย... เป็นความเจ็บปวดที่ติดตัวผมมาจนทุกวันนี้...
ผมเคยสูญเสียมาแล้ว... และผมไม่อยากจะสูญเสียอะไรไปอีก
เสียงออดดังบอกเวลาคาบโฮมรูมตอนเย็น... ผมอ่านคำสั่งของอาจารย์ยุนอาในแฟ้ม โชคดีที่ไม่เหมือนเมื่อเช้า... ผมแค่เอาไปแจกแล้วรอเก็บกลับมาเท่านั้น... ผมเก็บของทุกอย่างใส่กระเป๋านักเรียนแล้วหอบเอกสารไปที่ห้องม.5/1ทันที
เมื่อเข้ามาในห้องผมก็เดินเอากระดาษไปวางบนโต๊ะอาจารย์ แล้วหันหลังเขียนคำสั่งลงบนกระดานแบบครั้งแรกที่เข้ามาโฮมรูม... จริงๆมันจะไม่เป็นแบบนี้ ถ้าตอนนั้น ผมไม่ตามเขาไปนั่งตรงนั้นแต่แรก..
พอเขียนเสร็จผมก็เดินมายืนที่หน้ากระดานดำแทนที่จะเดินไปนั่งข้างเขา... เหมือนครั้งก่อนๆ เขามองมาที่ผม ซึ่งผมก็ไม่ได้มองเขากลับ แถมยังเมินใส่ด้วยซ้ำ กระทั่งเขาเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าผม... ผมจึงจำเป็นต้องมองเขากลับ...
“คุยกันหน่อยสิ” เขาเอ่ยเบาๆ ผมจึงหันไปมองเพื่อนในห้องเขาเล็กน้อย... พวกนั้นก็เหมือนจะสนใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่
“......”
“ตัวเล็ก”
“เรียกผมว่ากันต์พิมุกต์ด้วย” ผมเอ่ยเสียงแข็ง แต่เขาก็เอื้อมมือมาจับแขนผมไว้... ผมบิดข้อมือตัวเองออกจากมือเขาด้วยความรวดเร็วแล้วใช้มือผลักหน้าอกเขา “กลับไปทำโฮมรูมให้เสร็จเถอะ” ผมเดินไปยืนที่โต๊ะอาจารย์ทันที ตอนนี้เพื่อนในห้องกำลังมองมาที่พวกเราอยู่... ก็แน่ล่ะ เมื่อกี้ผมผลักเขาไปนี่
มาร์คถอนหายใจก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะตัวเองตามเดิม... ระหว่างนั้นแบมแบมก็หยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาเพราะมีข้อความเข้า... ข้อความของมาร์ค ต้วน... แต่เขาไม่ได้กดเปิดดู กลับพิมพ์ข้อความไปหาเพื่อนสนิทของตัวเองแทน
‘ยูค มารับหน่อย’
ไม่นานนักยูคยอมก็ส่งข้อความตอบตกลงกลับมา ผมยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกงโดยไม่ได้สนใจแรงสั่นเตือนถึงข้อความเข้าอีกเลย... เพราะผมรู้ดีว่าข้อความที่ส่งมาอย่างต่อเนื่องนั้นคือใคร... หัวหน้าห้องม.5
เสียงสั่นเตือนมือถือนิ่งไปตอนใกล้ๆจะหมดคาบ ผมเก็บรวบรวมเอางานที่ทุกคนเดินมาส่งไว้ก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อเอาเอกสารไปเก็บที่ล็อคเกอร์ให้เร็วที่สุด... ผมไม่ใช่คนหนีปัญหา แต่คราวนี้ผมขอหนีเถอะนะ... ผมไม่รู้จะจัดการยังไง
หลังจากล็อคกุญแจล็อคเกอร์แล้ว ผมก็รีบเดินออกมาหน้าโรงเรียนทันที วันนี้เป็นวันที่ผมรีบร้อนออกจากโรงเรียนที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา...
นั่น... ผมเห็นยูคแล้ว... หมอนั่นมายืนรออยู่ใต้ต้นไม้นอกรั้วโรงเรียน ระหว่างที่ผมเร่งฝีเท้าเดินไปหายูค ก็มีมือของใครคนหนึ่งฉุดแขนผมเอาไว้ก่อน ซึ่งผมก็สลัดมือนั่นออกได้อย่างง่ายดายตามสัญชาติญาณ
“แบมแบม...” เขาอีกแล้ว... มาร์ค
“เลิกยุ่งกับผมเถอะ” ผมตัดสินใจพูดสิ่งที่คิดออกไป “ผมไม่ใช่คนดีหรอก” ผมต้องตัดเขาออกไปจากชีวิตให้เร็วที่สุด
“พี่ทำไม่ได้” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว
“ลองทำดูแล้วเหรอถึงบอกว่าทำไม่ได้” ผมถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้ “อย่ามาเสียเวลากับผมเลย” ผมเอ่ยก่อนจะผละออกมา แล้วเร่งฝีเท้าไปหน้าโรงเรียนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เมื่อกี้คุยกับใคร?” ยูคยอมเอ่ยถามทันทีที่ผมเดินมาถึงเขา
“ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะ”
“เดี๋ยว!” ผมชะงักกับเสียงจากทางด้านหลัง ก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม
“แบมแบม...”
ยูคยอมที่ได้ยินมาร์คเรียกแบบนั้นก็เอาตัวเองมาขวางผมเอาไว้ เพราะมาร์คทำท่าจะเข้ามาหา...
“ไม่มีอะไรหรอกยูค เรากลับกันเถอะ” แบมแบมเอ่ยเบาๆที่ด้านหลังของยูคพลางยกมือขึ้นจับข้อมือยูคก่อนจะฉุดให้ออกเดิน แต่มาร์คก็ไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น ยูคยอมจึงผลักอกมาร์คจนมาร์คเซไปด้านหลัง
“ผมขอเตือนนะ... กลับไปอยู่ในที่ๆเคยอยู่ซะ” ยูคยอมมองมาร์คตาขวาง
“กลับบ้านไปเถอะครับ พวกผมจะกลับบ้านเหมือนกัน” ผมโค้งให้มาร์คตามมารยาทก่อนจะรีบดึงแขนยูคยอมให้เดินตามมาทันที... เพื่อนผมเป็นคนอารมณ์ร้อน และมักจะชอบแก้ปัญหาด้วยกำลังเสมอ ขืนปล่อยไว้นานกว่านี้มีหวัง คุณหัวหน้าห้องได้เจ็บตัวแน่ๆ
“หมอนั่นใคร? แล้วรู้ชื่อนายได้ไง?” ยูคยอมที่ยอมเดินตามผมมาเงียบๆอยู่นาน เอ่ยถามเมื่อเราเดินออกมาไกลจากตรงนั้นแล้ว
“ไม่มีอะไร...”
“นายอย่าโกหกฉัน” สิ้นคำของยูคผมเลยได้แต่ถอนหายใจออกมา แล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่า... ตกลง จะเล่าให้ฟังก็ได้
“เขาชื่อมาร์ค... มาร์ค ต้วน... เป็นหัวหน้าห้องม.5 ที่ฉันต้องเจอไปจนถึงอาทิตย์หน้า ส่วนชื่อฉัน... เมื่อวานเขาบังเอิญเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด.. แล้วก็บังเอิญได้ยินฉันคุยโทรศัพท์กับนาย”
“แน่ใจหรอว่าบังเอิญ?” ยูคยอมเลิกคิ้วขึ้น... ผมพยักหน้า...
“นายคิดว่าเขาคนไม่ดีเหรอ?”
“ไม่นะ... ฉันว่าเขาดูไม่อันตรายสักนิด...” ผมเลิกคิ้วใส่เพื่อนสนิท “แต่ฉันไม่ค่อยชอบขี้หน้าเขาเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นอยู่ให้ห่างหมอนั่นไว้”
“อืม...” กำลังทำ...
ยูคยอมเดินมาส่งผมที่ที่พัก เข้ามาตรวจสอบอะไรนิดๆหน่อยจนทั่วห้องเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครแอบเข้ามาหรือมีสิ่งแปลกปลอมใดๆแล้วจึงกลับบ้านตัวเอง
“ไม่ให้ฉันมานอนเป็นเพื่อนจริงๆหรอแบม?” ผมส่ายหน้า “งั้นนายไปนอนบ้านฉันก็ได้” ผมส่ายหน้าอีก
“บ้านนายไกลจากโรงเรียนตั้งเยอะ กว่าจะมา กว่าจะไปลำบากจะตาย”
“ก็ฉันจะให้คนของพ่อขับรถไปส่งนายทุกวันเลยนายก็ไม่ยอม”
“เกรงใจคุณอาท่าน... นายรีบกลับไปเถอะ เดี๋ยวคุณอาจะดุเอา” ผมผลักยูคยอมให้ออกจากประตูห้องไป
“เดี๋ยวฉันกลับไปหอบเสื้อผ้ามานอนกับนายดีกว่า” พูดจบยูคยอมก็รีบวิ่งออกไปทันที แบมแบมได้แต่ส่ายหน้าให้กับนิสัยประหลาดๆของเพื่อนตัวเอง... ยูคยอมเหมือนเด็ก...ทั้งๆที่ตัวก็ออกโต... ซึ่งต่างจากผมที่ดูจะเป็นผู้ใหญ่เกินตัว
ผมปิดประตูแล้วเดินมาเปิดตู้เย็นเพื่อดื่มน้ำ ระหว่างนั้น ก็มีเสียงสั่นเตือนจากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง
ข้อความเข้า 12 ฉบับ
ตั้งแต่คาบโฮมรูมจนถึงตอนนี้... ผมกดเข้าไปดูข้อความล่าสุดที่เพิ่งส่งเข้ามาโดยยูคยอม
‘ขอเวลาเก็บเสื้อผ้าสักห้านาที แต่ขอเวลาสักสามปี ขออนุญาตพ่อออกไปนอนที่อื่นนะ’
ผมยิ้มขำกับข้อความของเพื่อนสนิท... แค่นี้ก็รู้แล้วว่ากลัวพ่อขนาดไหน ก็แหงล่ะ พ่อยูคเป็นถึงนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ก็ต้องเคร่งครัดเรื่องระเบียบวินัยเป็นธรรมดา จะขออนุญาตแต่ละเรื่องต้องสมเหตุสมผล และไม่ใช่เรื่องไร้สาระ
‘ให้เวลาสามสิบปีเลย’
ผมกดตอบข้อความไป และกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเปิดดูข้อความอีก 11 ฉบับที่เหลือดีรึเปล่า... ข้อความที่ไม่มีชื่อผู้ส่ง... ข้อความของมาร์ค ต้วน
ระหว่างนั้นเองยูคยอมก็ส่งข้อความเข้ามาอีกฉบับ
‘เปลี่ยนใจแล้วไม่ขอพ่อดีกว่า แอบมานอนกับแบมเลย :P’
ก๊อก ก็อก
ผมได้แต่ถอนหายใจกับเพื่อนคนนี้ เพราะหลังจากส่งข้อความมาแล้ว คนที่มาเคาะประตูห้องตอนนี้ก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกซะจากเจ้าตัวนั่นแหละ ผมส่ายหน้าพลางเดินไปเปิดประตูอย่างเสียไม่ได้
“เลิกเล่นได้แล้ว...” แต่เมื่อผมเปิดประตูออกมา คนที่ยืนอยู่หลังประตูที่ผมคิดกลับไม่ใช่ยูคยอม... ผมรีบปิดประตูกลับไปดังเดิมแต่ก็ไม่ทันเขาอยู่ดี...
เขาดันประตูแล้วแทรกตัวเองเข้ามาก่อนจะปิดประตูแล้วล็อคกลอน
แบมแบมตกใจที่คนที่เขาพยายามจะเลี่ยงอย่างมาร์ค เข้ามาอยู่ในห้องเขาและกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้... แต่แบมแบมก็พยายามตั้งสติ... เพราะมาร์คเป็นผู้ชายประเภทที่ไม่ยอมอะไรง่ายๆแน่ๆ เขาเป็นพวกชอบตื๊อ...
“มาที่นี่ทำไม?” เป็นครั้งแรกที่ผมเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน เพราะเขาไม่ยอมพูดอะไรเลยหลังจากเข้ามาแล้ว
“.....” เขาไม่ตอบแต่เดินเข้ามาหาผมช้าๆ
“ออกไป” ผมเอ่ยเบาๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้มขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเขาไม่เพียงไม่ออก แต่กลับเดินเข้ามาหาผมเรื่อยๆ ผมก้าวถอยหลังไปตามจำนวนก้าวที่เขาก้าวเข้ามาหา
“ผมบอกให้ออกไป... อยากตายจริงๆใช่มั้ย?” ผมขู่เขา ทั้งๆที่ปกติแล้วการขู่ไม่ใช่ทางของผมเลย... นี่ถ้าเป็นคนอื่น ผมจะไม่เสียเวลาขู่หรอก และก็จะไม่ปล่อยให้มาเดินลอยหน้าลอยตาอยู่แบบนี้... ผมต้องซัดสักหมัดสองหมัดแล้วล่ะที่ถือวิสาสะเข้าห้องคนอื่นโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต
มาร์คยังคงเดินเข้าหาแบมแบมมากขึ้น ด้วยสีหน้าที่แบมแบมเองก็อ่านไม่ออก...
“ต้องการอะไร?” ผมหยุดก้าวถอยหลัง เพราะถึงก้าวต่อไปอีกไม่กี่ก้าวหลังผมจะชนผนังห้อง... และที่ผมตัดสินใจหยุดถอยหลัง เพราะรู้ดีว่ายังไงเขาก็จะไม่หยุดก้าวเข้ามาหา... คราวนี้ได้ผล เขาหยุดก้าวเข้ามา... แต่หยุดยืนอยู่ในระยะที่ผมว่ามันใกล้กันเกินไป... ห่างกันแค่หนึ่งก้าว...
“ทำไมต้องไล่พี่ด้วย”
“ที่นี่ห้องผม และผมไม่อนุญาตให้ใครเข้ามา” ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเขา “กลับไปซะ”
“แบม...” เขาเดินเข้าหาผมอีกจนผมต้องก้าวถอยโดยอัตโนมัติ
“ผมว่าผมพูดไปหมดแล้วนะ” ผมถอยหลังมาจนติดผนังอีกฝั่งเขาก็ยังไม่เลิกเดินเข้ามา “หยุดอยู่ตรงนั้นเลย... อย่าให้ผมต้องใช้กำลัง” ผมขู่เขาแต่ก็ไม่เป็นผล... นี่เขาไม่คิดจะกลัวผมเลยรึไงนะ? เพิ่งรู้วันนี้ว่าสกิลการขู่ของผม... มันแย่มาก
ผมกำมือตัวเองแน่น อยากจะหายไปจากตรงนี้ ผมไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้... แบบที่จะใช้เหตุผลคุยก็ไม่รู้เรื่อง จะใช้กำลังก็ไม่ได้เพราะกลัวอีกคนจะเจ็บตัว... จะให้ผมทำยังไง... ผมจะทำยังไงกับเขาดี
หมับ
มาร์คดึงแบมแบมเข้ามากอดแน่นจนคนที่โดนกอดตัวเกร็ง... เขากอดแบมแบมแน่นขึ้นพร้อมๆกับลูบหัวแบมเบาๆ หมัดที่แบมแบมกำค่อยๆคลายออก...
“อย่าทำแบบนี้เลยได้มั้ย?” เขาเอ่ยเสียงแผ่วข้างหูผม... “พี่ขอร้อง”
“แค่ใช้ชีวิตของตัวเองแบบที่เคยเป็นก่อนจะรู้จักกัน... มันไม่ยากหรอก” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ผมก็ยังไม่มั่นใจตัวเองเลย... ว่าสิ่งที่พูดออกไป ผมจะทำได้จริงๆมั้ย?
“มันไม่ยาก...” เขากอดผมแน่นขึ้น “แต่พี่ไม่อยากทำ...”
“เลิกยุ่งกับผมเถอะ” ผมหลับตาลงแน่นเมื่อพูดจบ... ผมกำลังรู้ความรู้สึกของตัวเองชัดเจนก็ตอนนี้... หัวใจมันเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน... แต่ผมไม่ควรให้ใครรู้... โดยเฉพาะเขา
“ผมไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับคุณ” ผมกลั้นใจพูดออกไป...
เคยได้ยินมั้ย?... การปกป้องที่ดีที่สุด ก็คือการทำร้าย
มาร์คคลายอ้อมกอดก่อนจะมองหน้าผม ใบหน้าเขาดูผิดหวัง
ผมเข้าใจ... และผมขอโทษ
#ฟิคสั้นมาร์คแบม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น