วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558

A Good Boy - first




          เสียงลมหายใจถูกพ่นออกมาเมื่อมองไปยังสาวน้อยคนหนึ่งที่ตอนนี้กำลังพูดคุยกับชายหนุ่มหน้าตาดีอยู่ตรงมุมบันไดทางขึ้นตึกเรียน ท่าทางเขินอายแบบนั้นบวกกับใบหน้าน่ารักที่ยกยิ้มน้อยๆนั้นยิ่งทำให้คนมองต้องเขินตามไปด้วย ถ้าคนอื่นได้มาเห็นภาพนี้ล่ะก็ คงจะคิดว่าสองคนนี้ดูเป็นคู่ที่เหมาะสมกันดี เพราะฝ่ายชายก็เป็นถึงเดือนโรงเรียนระดับมัธยมปลาย แค่ตำแหน่งคงไม่ต้องบอกชื่อเสียงเรียงนามและคงไม่ต้องสาธยายความหน้าตาดีว่าอยู่ในระดับไหนหรอกนะ ส่วนฝ่ายหญิงน่ะเหรอ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ขี้อ้อนเหมือนลูกแมว ดีกรีนักร้องนำของวงดนตรีของโรงเรียน พ่วงท้ายมาด้วยรองประธานชมรมดนตรี มากความสามารถทั้งร้องทั้งเต้น... คงต้องแนะนำกันอย่างเป็นทางการหน่อยสำหรับคนนี้ แบคอายอน

          ...เธอเป็นเพื่อนสนิทของผมเอง


          “รอนานมั้ยแบมแบม?” เธอทิ้งตัวนั่งลงข้างๆผมก่อนจะยิ้มกว้างๆให้หนึ่งที ผมยิ้มบางๆตอบกลับไปแล้วส่ายหน้า


          “ถามจริง... คนนี้จริงจัง?” ผมเลิกคิ้วขึ้น เธอมองผมตาโตก่อนจะยกยิ้มแล้วโยกหัวไปมาเล็กน้อย เธอไม่ได้กำลังส่ายหน้า แค่โยกหัวไปมาช้าๆเหมือนคนฮัมเพลงที่กำลังอารมณ์ดี


          “ก็ไม่รู้สินะ” เธอหัวเราะแต่ผมได้แต่ถอนหายใจ ผมล่ะเบื่อคำนี้จัง...


          ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมแค่ไม่อยากให้อายอนทำตัวแบบนี้เท่าไหร่ คือผมจะพูดยังไงดีล่ะ... อายอนเป็นคนน่ารัก เฟรนลี่ เธอเป็นแบบนี้กับทุกคน ตั้งแต่คบกันมาผมชินกับการมองเธอหว่านเสน่ห์ เอ่อ... ขอใช้คำว่าหว่านเสน่ห์นะครับ ไม่ใช่ให้ท่า เธอทำให้ผู้ชายหลงรักเธอหัวปักหัวปำมาหลายคนแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้คบใครเป็นแฟนจริงจังสักคนเดียว ผมก็พอจะเข้าใจว่าผู้ชายพวกนั้นคงคิดเข้าข้างตัวเองว่าเธอชอบล่ะมั้ง ถึงได้เครซี่อายอนขนาดหนัก บางรายถึงขั้นบอกเลิกแฟนที่ตัวเองคบอยู่เพื่อมาตามจีบเธอ...


          ผมรู้ว่าเธอไม่ได้แกล้งหว่านเสน่ห์ใครต่อใครให้มาหลงเธอเลย เธอแค่เป็นตัวของเธอเอง เธอไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ เธอเป็นคนแบบนี้ คุยได้ เล่นได้ ไม่ถือตัวจริงๆ แต่คนอื่นที่ไม่รู้จักเธออย่างผม...เขาไม่เข้าใจ...


          ผมเตือนเธอให้ระวังคำพูด หรือสงวนท่าทีไว้หน่อย เพราะผมได้ข่าวมาว่ามีผู้หญิงบางคนไม่พอใจนักที่อายอนไปยุ่งกับแฟนของตัวเอง ซึ่งถ้าจะพูดให้ถูกแฟนของพวกเธอเป็นฝ่ายมายุ่มย่ามกับอายอนซะมากกว่านะ มีหลายครั้งที่อายอนโดนผู้หญิงพวกนั้นเขม่น และหมายหัวไว้ แล้วมันก็หนักขึ้นเรื่อยๆจนผมเองยังงงเลยว่ามันเริ่มมาจากตรงไหน...


          จนไม่นานมานี้อายอนก็โดนแกล้ง มันเป็นการแกล้งแบบเล็กๆน้อยๆก่อนจะเริ่มเป็นการแกล้งที่มันมากเกินไป... เช่นผมกับอายอนเรานั่งกินข้าวกันอยู่ในโรงอาหาร ก็มีคนแกล้งสะดุดขาตัวเองแล้วเซมาปัดจานข้าวบนโต๊ะของพวกผมจนหกกระจายไปเต็มพื้น... ผมก็อยากคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุนะครับถ้าไม่ติดว่ามีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าหญิงสาวที่เพิ่งกล่าวคำขอโทษมาหมาดๆ ...คำขอโทษที่มันขัดกับการกระทำของเธอทำเอาผมอึ้งไปเลย


          ผมกับอายอนไม่อยากให้มีเรื่องกัน เลยปล่อยผ่านหวังจะให้มันจบๆไป แต่พอหลังจากวันนั้นก็มีเรื่องเข้ามาตลอดเลย ในตอนแรกๆเรามักจะโดนแกล้งเมื่อเราอยู่ด้วยกัน... แต่พักหลังๆอายอนต้องเข้าชมรมไปซ้อมดนตรีบ่อยๆเมื่อเธอมีเวลาว่าง... ผมก็ยังถูกแกล้งไปด้วย... ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ผมทำอะไรผิดหรอครับ... ผมแค่เป็นเพื่อนเธอ เป็นเพื่อนอายอนคนที่พวกนั้นเกลียดเท่านั้นเหรอถึงได้แกล้งกันแบบไม่เกรงใจแบบนี้... เฮ้อ... ผมไม่รู้ว่าอายอนจะโดนแกล้งในระหว่างที่เธอไปซ้อมดนตรีหรือเปล่า แต่ผมน่ะโดนเต็มๆเลย


          โดนอะไรน่ะหรอ... บอกได้คำเดียวว่าเยอะมาก เริ่มจากอะไรก่อนดีล่ะครับ ผมว่าผมโดนมาหมดแล้วนะตลอดสามสัปดาห์ที่ผ่านมาเนี่ย ไอ้สารพันสารพัดวิธีแกล้งกันในโรงเรียนที่เคยมีมาในประวัติการณ์ทั้งหลายแหล่ ผมว่าผมเจอมาหมดแล้วนะ


          แต่ที่เจอบ่อยที่สุดต้องนี่เลย... คลาสสิคมากจริงๆบอกเลย


          ‘ของเหลว’


          ที่ใช้คำนี้เพราะมันไม่ใช่แค่น้ำเปล่า หรือน้ำประปาในห้องน้ำ แต่มันรวมไปถึงน้ำทุกชนิด ทุกสี ผมโดนมาจนจะครบทุกสีล้ะ... น้ำแดง น้ำเขียว น้ำส้ม โซดา บลาๆๆๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งน้ำปลา... เหม็นมากครับวันนั้นจำได้ขึ้นใจ


          ผมโดนน้ำปลาตอนกำลังต่อแถวซื้ออาหารอยู่ในโรงอาหาร... วันนั้นอายอนไม่ได้มาเรียนเพราะเมื่อวันก่อนเธอซ้อมดึกจนไม่สบายผมเลยต้องกินข้าวคนเดียว... ในระหว่างที่ต่อแถวยืนรอนั้นก็มีเด็กที่ไหนไม่รู้เดินมาชนผมจากทางด้านหลัง ก่อนจะรีบวิ่งไปแล้วทิ้งแก้วพลาสติกในมือตัวเองลงที่พื้นข้างๆที่ผมยืน ผมหันไปเห็นหลังไวๆที่วิ่งไป ดูก็รู้ว่าเป็นผู้หญิงแต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร... แล้วผมก็หันมาสนใจหลังตัวเองที่ตอนนี้รู้สึกได้ถึงน้ำที่ไหลลงจากไหล่ไปจนเต็มทั่วแผ่นหลัง  ก่อนที่มันจะไหลลงไปในกางเกง... ไม่นานต่อจากนั้นกลิ่นที่ผมไม่อยากจะคิดมันก็ลอยมาเตะจมูก แล้วผมก็ตรัสรู้ได้โดยทันทีว่ามันคือน้ำปลา...


          น้ำปลาจากประเทศไทยนี่แหละครับ ผมก้มลงมองแก้วพลาสติกที่นอนกลิ้งอยู่ที่พื้นอีกครั้งก่อนจะคิดขำๆกับตัวเองคนเดียวในใจว่า...


          นี่มึงแดกน้ำปลาแทนโค้กใช่ป้ะ? ถึงเอาใส่แก้วพลาสติกมาแบบนี้? ถ้าไม่เผลอทำหกใส่หลังกูนี่มึงคงจะจัดน้ำแข็งเย็นๆใส่ลงไปแล้วกระดกเข้าปากใช่อ้ะ? หึ! ทีหลังมึงมาเป็นขวดก็ได้นะ ไหนๆมึงก็ทำซะขนาดนี้แล้ว...


          ผมถอนหายใจออกมาแล้วเดินออกจากแถวที่ต่อซื้อข้าว... เพื่อนนักเรียนคนอื่นก็ยืนมองผมด้วยสายตา เอ่อ... ผมคิดว่าน่าจะสงสารนะ หรือบางคนอาจจะสมเพชไปแล้วก็ได้...


          สุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้กินข้าวสินะ ต้องระเห็จตัวเองไปที่ห้องน้ำอย่างไว... แต่ก่อนเข้าห้องน้ำผมก็ไม่ลืมที่จะเดินไปที่ล็อกเกอร์ของตัวเองที่ชมรมกีฬาแล้วเอาเสื้อพละออกมาเปลี่ยน... คงต้องเอาไปทั้งชุดเลยสินะ เพราะตอนนี้น้ำปลามันซึมเข้าผ้าทุกชิ้นของผมหมดล้ะ...


          ผมเลือกที่จะเข้าห้องน้ำที่ชมรมเลยเพราะผมจะไม่ทนเดินไปที่ตึกเรียนเพื่อเข้าห้องน้ำที่นั่นแน่ๆ ขืนเดินไปผมต้องเป็นไซนัสจริงๆ และดูเหมือนว่าตอนนี้จมูกผมจะเริ่มเน่าแล้วครับ... มีแต่กลิ่นน้ำปลาเต็มไปหมดจนเวียนหัว


          เมื่อมาถึงห้องอาบน้ำนักกีฬาผมก็จัดแจงถอดเสื้อนักเรียนออก แล้วโยนมันลงไปที่เก้าอี้ยาวกลางห้อง จริงๆห้องนี้เป็นห้องแต่งตัวนะ ห้องถัดไปถึงจะเป็นห้องอาบน้ำ... ที่ผมสามารถเข้ามาใช้ได้ ก็เพราะผมอยู่ชมรมบาสเก็ตบอล แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวจริงเวลาลงแข่งหรอกนะครับ ผมพอเล่นได้เลยมาเข้าชมรมเพื่อฝึกฝน...เผื่อตัวเองจะได้ลงตัวจริงเข้าสักวัน


          ผมพาดผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ที่รอบเอวก่อนแล้วจัดการจับปลายผ้ายัดไว้ที่ขอบผ้าเช็ดตัวตรงเอวเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่หลุดออกมาในระหว่างที่จะต้องถอดกางเกง


          ปัง!


          ปิดประตูดังปังที่หน้าประตูห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าทำเอาผมตกใจ...



          ก็คนกำลังจะถอดกางเกง


          ผมเหลือบไปมองผู้มาใหม่ก่อนจะยืนนิ่งราวกับถูกสาปให้เป็นหิน...



          เพราะบุคคลที่เข้ามาใหม่นั้นก็คือ...



          พี่มาร์ค!!!




          หัวใจผมกำลังหยุดเต้นเมื่อเห็นว่าพี่มาร์คกำลังหยุดเดินและมองมาทางผมเช่นกัน เขาอึ้งไปพักนึงก่อนจะทำหน้าเหยเกแล้วยกมือขึ้นมาปิดจมูกของตัวเอง... คือผมขอโทษนะพี่มาร์ค กลิ่นน้ำปลาบุกโพรงจมูกล่ะสิ


          “ขอโทษครับ” ผมหันไปหาพี่มาร์คตรงๆก่อนจะก้มลงเก้าสิบองศา “เดี๋ยวผมจะรีบทำความสะอาด” ผมเงยหน้าขึ้นแล้วหอบเอาเสื้อตัวที่เลอะน้ำปลากับชุดพละมาไว้ในมือคนละข้างก่อนจะรีบวิ่งเข้าห้องอาบน้ำไป...


          คือยังไงดีล่ะ... จะให้ผมอยู่ต่อให้พี่มาร์ครังเกียจผมหรอ แค่นี้ผมก็อายจะแย่อยู่แล้ว...


          ที่คนที่ตัวเองปลื้มดันมาเจอผมในสภาพเหม็นหึ่งแบบนี้... หวังว่าพี่คงจะไม่จำผมหรอกนะ ลืมๆผมไปเหอะ ผมไม่อยากให้พี่จำผมได้เพราะกลิ่นน้ำปลาหรอกนะ...


          ผมจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดพละก่อนจะเอาชุดนักเรียนที่เลอะน้ำปลาไปซักด้วยน้ำเปล่า... ก็ผมไม่มีผงซักฟอกนี่ครับ... ซักน้ำเปล่าไปก่อน เดี๋ยวเอาใส่ถุงเก็บไว้รอเลิกเรียนแล้วเอาไปซักที่บ้าน... บอกทีว่าชุดนักเรียนผม มันจะไม่ขึ้นราก่อนใช่มั้ยครับ? ฮืออออออ


          พอผมออกมาจากห้องอาบน้ำ พี่มาร์คก็ไม่อยู่ในห้องแต่งตัวแล้ว สงสัยพี่เค้าคงทนกลิ่นน้ำปลาไม่ไหวสินะ ฮือออออออออ หมดกัน... อย่างนี้ผมจะกล้าไปเจอหน้าพี่เขาได้ยังไง...


          ถึงผมจะไม่เคยแสดงตัวให้ใครรู้ว่าผมปลื้มพี่มาร์ค ต้วน นักกีฬาฟุตบอลคนดัง คนฮอตของโรงเรียน ผมไม่ได้บอกใครเลยแม้กระทั่งอายอนเพื่อนสนิทของผมเอง...


          ผมไม่ได้หวังอะไรนี่ครับ... แค่แอบชอบ แอบปลื้มอยู่ในที่ของผมเงียบๆคนเดียวน่ะดีแล้ว... ถึงแม้ผมจะไปดูทุกแมตช์ที่พี่เขาแข่ง... ไม่พลาดเลยแม้กระทั่งไปแอบดูวันซ้อมใหญ่ก่อนลงแข่งจริง คือผมไปคนเดียวนะเลยไม่มีใครรู้ ทุกครั้งที่ไป ผมก็จะแอบนั่งดูตรงมุมมืดๆ ยุงกัดบ้าง มดกัดบ้าง แต่ผมไม่หวั่นครับ เพราะรอยยิ้มของพี่มาร์คไม่ได้เห็นกันบ่อยๆนี่นา... พี่เค้าจะยิ้มและหัวเราะทุกครั้งที่เค้าทำประตูได้...


          ฮืออออออออ แต่ตอนนี้คืออะไร... ผมรู้สึกแย่จัง ถึงฟ้าจะประทานให้พี่มาร์คกับผมมาเจอกันซึ่งๆหน้าแบบนี้ แต่ทำไมต้องพามาเจอตอนที่ผมกำลังเผชิญวิกฤตด้วยล่ะครับถามจริง! นี่แกล้งกันใช่ป้ะฟ้า... ผมน้อยใจจริงๆนะ ท่าทางขยะแขยงแบบนั้นจากพี่มาร์คทำเอาหัวใจผมหล่นวูบไปเลย... นี่ผมไม่สามารถสร้างความประทับใจครั้งแรกที่มีต่อคนที่ผมปลื้มได้เลยจริงๆหรอเนี่ย ฮือออออออออ


          ผมเคยคิดนะ... ว่าทำไมผมต้องมารับกรรมแทนอายอนด้วยก็ไม่รู้...


          แต่ถึงคิดแบบนั้น ผมก็ยังคิดว่าเป็นผมที่โดนแบบนี้น่ะดีแล้ว... ถ้าอายอนโดน เธอคงน่าสงสารมากเลย


          เฮ้อ ตอนนี้ผมก็ได้แต่หวังว่าอะไรๆมันจะดีขึ้นนะ...


          หลังจากวันนั้นที่โดนพี่มาร์ครังเกียจ(T^T) มาจนวันนี้ก็สองอาทิตย์แล้ว ผมไม่กล้าไปแอบดูพี่มาร์คซ้อมบอลอีกเลยครับ ผมกลัวพี่เค้าจำได้แล้วจะรังเกียจผมมากกว่าเดิม ผมทนไม่ได้...


          ทุกวันนี้เวลามาเรียนผมต้องเอาเสื้อผ้าติดกระเป๋ามาด้วยทุกวัน เพราะไม่รู้ว่าวันนี้จะโดนอะไร... แต่ถ้าจะโดนอะไรเปียกๆอีก และจะให้ผมไปเปลี่ยนที่ห้องอาบน้ำชมรมก็คงจะไม่ไหว... เดี๋ยวเจอพี่มาร์คอีกผมแย่แน่ๆ ฮืออออออ คิดแล้วก็อยากจิครายยยยยย T^T


          เรื่องโดนน้ำปลาเนี่ย ผมไม่ได้เล่าให้อายอนฟังหรอกนะ กลัวเธอจะเป็นห่วง อีกอย่างตอนนี้ใกล้ถึงวันงานโรงเรียนแล้ว วงของเธอต้องจัดคอนเสิร์ตสุดอลังการล้านแปด(เธอว่างั้นนะ) เธอวุ่นวายกับการซ้อมมาก แต่ผมนี่สิว่างมาก นอกจากจะไม่มีงานอะไรให้รับผิดชอบแล้ว ยังโดดซ้อมบาสเก็ตบอลของชมรมอีกต่างหาก จริงๆคาบชมรมไม่ได้มีคะแนนเก็บอะไรหรอกครับจะโดดก็ไม่ผิดอะไร แต่ทุกทีผมจะไปซ้อมทุกวันศุกร์หลังเลิกเรียน... แต่นี่ไม่ได้ไปมาศุกร์นึงแล้ว... แล้ววันนี้ก็กะจะไม่ไปอีก...


          เฮ้อ... วันนี้จึงเป็นวันศุกร์ที่ผมไม่สุขเลย ต้องโดดซ้อมบาสฯ แถมยังต้องตัดใจไม่ไปดูพี่มาร์คซ้อมบอลด้วย... สนามบาสฯ กับสนามบอลอยู่ใกล้กันจะตาย แต่ผมกลับไม่ได้ไปส่องพี่มาร์ค ฮือออออออออ อยากไปอ่ะ...


          “แบมแบม วันนี้ไปดูอายอนซ้อมมั้ย?” อายอนถามผมขณะที่เธอกำลังเก็บกระเป๋าและเตรียมจะไปห้องซ้อมหลังเลิกเรียน ผมก็รีบพยักหน้าไปทันทีเพราะจะหาอย่างอื่นทำแทนที่จะมานั่งแซดเพราะอยากไปดูพี่มาร์คซ้อมบอล


          ระหว่างที่ผมกับอายอนกำลังเดินไปที่ห้องซ้อมของชมรมดนตรี สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นพี่มาร์คกำลังเดินอยู่ไกลๆด้วยรัศมีห้าร้อยเมตร... ผมจำได้ขึ้นใจเลย เห็นแค่ใบหูผมก็จำได้แล้ว นั่นพี่มาร์ค!!!!! ผมมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจจนอายอนต้องหยุดถามว่าผมเป็นอะไร... คือจะทำไงดี ตรงที่พี่มาร์คยืนคุยกับเพื่อนอยู่มันเป็นทางผ่านไปที่ชมรมดนตรีของอายอน


          “คือแบมว่า แบมกลับก่อนดีกว่า” ผมบอกอายอนเลิ่กลั่ก ก่อนจะรีบหันหลังเตรียมออกเดิน แต่อายอนกลับฉุดแขนผมเอาไว้ก่อน ผมขืนไว้หน่อยๆ


          “เดี๋ยวสิแบมแบม...” เธอดึงผมให้เดินหน้ามาก่อนจะชี้ไปที่ผู้ชายที่ผมอยากจะไปดูเขาซ้อมบอลใจจะขาด “นั่นพี่มาร์ค” เธอเอ่ยกับผมพลางใช้นิ้วชี้ไปที่พี่มาร์ค


          รู้แล้ววว อายอน แบมรู้ตั้งนานแล้ว T^T


          “อะ..อื้อ ทำไมล่ะ?” ผมเอ่ยถามออกไป


          “คือ... แบมแบมช่วยอะไรหน่อยสิ” เธอบอกก่อนจะทำท่าเขินอาย


          ผมกระพริบตาปริบๆมองท่าทางแบบนั้นของเธอก่อนที่ตัวเองจะเริ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก... คงไม่ใช่แบบที่ผมคิดหรอกนะ



          “อายอนฝากจดหมายไปให้พี่มาร์คหน่อยสิ”



          .................................... จุดมากมายแทนความรู้สึก ตอนนี้สมองว่างเปล่า



          อายอน... ชอบพี่มาร์คเหรอ?


          อายอน... ชอบพี่มาร์คสินะ




          ผมหัวเราะปนสะอื้นในใจ...



          และแล้วผมก็ต้องบากหน้าถือจดหมายฉบับหนึ่งที่ถูกบรรจุในซองสีชมพูดูน่ารักจิ้มลิ้มที่อายอนยัดใส่มือผมด้วยความเขินอาย...


          ที่ผมไม่อยากมาส่งจดหมายให้เธอเพราะ


          หนึ่งคือ... คนๆนั้นเป็นพี่มาร์ค... ที่ผมปลื้ม


          สองคือ... คนๆนั้นเป็นพี่มาร์ค... ที่ผมพยายามทำตัวเองให้กลายเป็นฝุ่นผง ไม่ให้พี่มาร์คเห็นอยู่สองอาทิตย์เต็มๆหลังจากวันนั้น


          และสามคือ... คนๆนั้นเป็นพี่มาร์ค... ที่ผมกลัวว่าเค้าจะรังเกียจผมแบบเดียวกับครั้งแรกที่เจอกันในสภาพน้ำปลาเหม็นหึ่ง...


          สุดท้ายขาทั้งสองข้างผมก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพี่มาร์คที่ตอนนี้ยืนอยู่กับเพื่อนแค่สองคน ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดกับพี่มาร์ค


          “ขอโทษนะครับ... คือเพื่อนผมฝากจดหมายนี่มาให้พี่มาร์ค” ผมพยายามพูดให้เสียงเป็นปกติที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้แล้วนะ แต่หางเสียงมันก็ยังคงสั่นนิดๆ ผมยื่นจดหมายไปทางพี่มาร์ค แต่ตาก็ยังคงมองลงบนพื้น ผมไม่กล้า... กลัวพี่เค้าจะจำได้... กลัวเห็นสีหน้ารังเกียจอีกครั้ง


          ผ่านไปอยู่สองนาทีเห็นจะได้ กว่าที่พี่มาร์คจะเอื้อมมือมาหยิบจดหมายในมือผมไป ในใจผมโล่งอย่างบอกไม่ถูกที่พี่มาร์ครับไป... เขาไม่พูดอะไรเพียงแค่หันหลังเดินออกไปพร้อมเพื่อนตัวเอง ผมได้แต่ยกมือข้างที่ถือจดหมายเมื่อกี้ขึ้นมากุมที่หน้าอกตัวเอง... ตอนนี้ใจผมเต้นแรงมาก ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ความรู้สึกตอนนี้มันปนๆกันไปหมด ดีใจ เสียใจ น้อยใจ โล่งใจ หรือแม้กระทั่งกลัว...


          ผมอธิบายไม่ถูกว่าตอนนี้ที่รู้สึกจริงๆคืออะไรกันแน่ ผมไม่รู้จริงๆ


          บางทีผมอาจจะดีใจ... ถ้าอายอนกับพี่มาร์คคบกัน


          ผมกับอายอนคงเลิกโดนแกล้งสักที ทุกคนจะได้รู้ว่าอายอนมีแฟนแล้ว... จะได้ไม่มีใครกล้ามาจีบ และพวกแฟนของผู้ชายที่เข้ามาจีบอายอนจะได้เลิกรังควานพวกเราสักที


          ผมจะได้ตามไปดูพี่มาร์คเล่นบอลได้อย่างเปิดเผย... เพราะอายอนต้องให้ผมไปเป็นเพื่อนเธอเพื่อดูแฟนตัวเองอยู่แล้ว…


          ผมคงจะดูไม่น่ารังเกียจมากนักในสายตาพี่มาร์ค... เพราะผมเป็นเพื่อนอายอนที่เป็นแฟนพี่เค้า


          ผมดีใจจริงๆนะ...



          แต่ทำไมผมพูดได้ไม่เต็มปากว่าผมดีใจ...

               



          ปกติแล้วพอวันจันทร์ซึ่งเป็นวันเปิดเรียนวันแรกของสัปดาห์ผมจะต้องโดนน้ำอะไรสักน้ำในตอนเช้าของวันแล้วล่ะครับ... ไม่แน่ใจว่าพวกนั้นคงคิดถึงผมมากไป... เพราะหยุดไปสองวันเสาร์อาทิตย์ คงคิดถึ๊งงง คิดถึงงงง หรือยังไงไม่รู้นะ... จัดเต็มตั้งแต่เช้าทุกวันจันทร์ นี่ก็เริ่มเข้าสัปดาห์ที่สี่ล้ะ เมื่อไหร่จะเบื่อที่จะแกล้งผมกันสักทีนะ...


          แต่มันแปลกๆนะวันนี้... ตอนเช้าผมไม่เปียกน้ำเลยสักหยดเลย... เป็นไปได้ไง? นี่ตลอดช่วงเช้าผมรอดมาได้ไงเนี่ย งงตัวเองเหมือนกัน ตอนพักเที่ยง ต่อแถวซื้อข้าวผมก็ไม่โดนอะไรเลย... เอ๊ะ... หรือจะมาตอนเย็นๆ อันนี้ผมก็ไม่รู้นะ เดี๋ยวมาแล้วจะเล่าให้ฟังนะครับ


          พอกินข้าวเที่ยงเสร็จอายอนก็คะยั้นคะยอให้ผมเอาจดหมายไปส่งให้พี่มาร์คอีก... ผมส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะรับจดหมายมาอย่างเสียไม่ได้...


          ให้ตายเถอะ ที่ผมทำอยู่เนี่ย...


          เพื่อเพื่อน…


#ฟิคสั้นมาร์คแบม


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น