วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558

Black Riddle 7


ห้ามเป็นอะไรตกลงมั้ย?




        แบมแบมวางกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้และเดินไปหยิบแฟ้มโฮมรูมเหมือนเช่นทุกวัน... วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เขาต้องไปทำหน้าที่โฮมรูมแทนอาจารย์ยุนอา พอนึกว่าจะต้องไปเจอหน้าใครบางคนที่เจออยู่แทบทุกวันที่ห้องนั้นแล้วผมก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้... ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกันว่า... ผู้ชายคนนั้นได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผมแล้วจริงๆ


          “กันต์พิมุกต์..” เสียงของหัวหน้าห้องผม.. มินอา ดังขึ้นที่หน้าห้อง มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่อาทิตย์ก่อน... พี่มาร์ค มารับผมเหมือนเช่นทุกเช้า


          ผมเดินหอบเอาเอกสารไปหาเขาที่หน้าห้อง ก่อนที่เขาจะเข้ามาหยิบมันไปถือไว้เสียเอง... ก็พูดไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้วว่าไม่ต้องมา... ผมมีขา เดินไปเองได้ ผมโตแล้วไม่หลงหรอก และผมมีมือ ผมถือเองได้.. แต่มาร์ค ต้วน ก็เป็นมาร์ค ต้วนอยู่วันยังค่ำ ในที่สุดเค้าก็แย่งผมไปถืออยู่ดีนั่นแหละ...


          วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้ทำอะไรแบบนี้... หลังจากวันนี้ไปก็คงเหลือแค่มากินข้าวกลางวันกับผมที่ห้อง.. และเดินมาส่งผมกลับที่พักเท่านั้น ซึ่งผมก็บอกไปไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้ว ว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้.. แต่เขาก็ไม่ยอมลูกเดียว... ดื้อเป็นบ้า


          ตลอดคาบโฮมรูม ผมกับเค้าดูเหมือนปกติทุกอย่าง ไม่ได้คุยเหมือนสนิทกันอย่างออกรสออกชาติ ไม่ได้เล่น ยิ้ม หรือ หัวเราะให้กัน ผมกับเค้าแทบจะไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้นเลย... จะมีก็แต่กระดาษแผ่นเล็กๆที่มักจะถูกสอดเข้ามาตอนผมกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่นี่แหละ.. ผมบอกเขาไปแล้วแท้ๆว่าให้ทำตัวเหมือนวันแรกที่ผมเข้ามาโฮมรูมแทนอาจารย์ยุนอา แต่เขาก็ขอสักนิดนึง...ให้ได้แหย่ผม... มาร์ค ต้วนนี่มันมาร์ค ต้วนจริงๆ



*

*

*



          มาร์คเอาแต่นั่งมองใบหน้าด้านข้างของแบมแบม วันนี้แบมแบมไม่ได้ใส่แมสมาเหมือนเช่นทุกวัน แผลของเขาหายหมดแล้ว และไม่ได้มีแผลใหม่เพิ่มขึ้นมา... นั่นเป็นเพราะยูคยอม... เขาไม่ยอมบอกงานที่แบมแบมจะต้องไปทำให้เจ้าตัวรู้ ยูคยอมรับผิดชอบงานทุกอย่างแทนแบมแบมทั้งหมด... เขาบอกผมให้ดูแลเด็กคนนี้ให้ดีที่สุด... ซึ่งผมก็รู้หมดแล้วล่ะ ทุกเรื่องของเด็กคนนี้...


          เพราะวันนั้นในระหว่างทางที่นั่งรถกลับบ้าน...


          “ไม่ว่านายจะเป็นใคร... ฉันขอเตือน ถ้าคิดจะก้าวเข้ามาในชีวิตเพื่อนรักของฉันแล้ว... อย่าแม้แต่คิดที่จะถอยหลังกลับ... ถ้านายทำแบบนั้น ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่!” ยูคยอมเอ่ยทันทีที่ผมก้าวขึ้นรถและปิดประตูเรียบร้อยแล้ว ท่าทียิ้มแย้มเหมือนตอนแบมแบมยังอยู่ด้วยไม่มีให้เห็นอีกต่อไป... ผมแอบกลืนน้ำลายเพราะรู้สึกได้ว่าเขาพูดจริง และผมก็เชื่อว่าเขาจะทำจริงด้วย


          “ฉันไม่รู้อนาคต แต่ด้วยเกียรติของลูกผู้ชายด้วยกัน ฉันกล้าพูดตรงนี้เลยว่า ฉันไม่... แม้แต่จะคิดที่จะไปจากแบมแบม ฉันจะอยู่ข้างเขา จะอยู่กับเขา จะดูแลเขา ปกป้องเขา..”


          “ปกป้องหรอ? ระดับนาย..จะปกป้องใครได้”


          “ฉันว่านายเองก็คงผ่านจุดนี้มาแล้ว... ถ้านายอยากปกป้องใครสักคน... นายจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เค้าปลอดภัย ฉันพูดถูกมั้ย? สำหรับเด็กคนนั้นที่นายพยามปกป้องมาตลอด และฉันคิดว่านายจะต้องเข้าใจฉันดีที่สุด” ยูคยอมนิ่งไปก่อนจะถอนหายใจ


          “ออกรถได้ครับลุง ขับไปเรื่อยๆก่อน” ยูคหันไปบอกคนขับรถให้ออกรถได้...


          “นายพูดถูก...” เขาหันมามองหน้าผม “ฉันรักและปกป้องเขามาตลอด... แบมแบมน่ะ”


          “.......”


          “นายคงจะสงสัยสินะว่าฉันกับแบมแบม พวกเราเป็นใครกันแน่...”


          “ก็สงสัยนะ แต่ถ้านายไม่อยากบอกฉันก็ไม่...”


          “ฉันเป็นตำรวจ... และแบมเป็นว่าที่ตำรวจ เขายังไม่ได้สอบบรรจุ ต้องรอจนกว่าเขาจะเรียนจบ.. แม้ว่าแบมจะยังไม่ใช่ตำรวจ... แต่ทุกวันนี้เขาก็ช่วยเหลือทุกคดีที่เขาสามารถทำได้”


          “คดี?”


          “ก็อย่างเช่นวันนั้นที่นายเห็น...” มาร์คนึกไปถึงวันที่เขาเห็นแบมแบมกำลังต่อสู้กับพวกชุดดำนั่นจนสะบักสะบอม


          “ทำไมนายปล่อยให้เขาเสี่ยงขนาดนั้น วันนั้นเขาเกือบโดนยิง!” มาร์คขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด ใช่.. ถ้าวันนั้นยูคยอมมาไม่ทัน... เด็กคนนั้นอาจโดนยิงตายไปแล้วก็ได้


          “แบมน่ะไม่กลัวปืนหรอก หมอนั่นไม่กลัวแม้กระทั่งความตาย เพราะแบมเคยเฉียดความตายมาแล้วถึงสองครั้ง... ครั้งแรกตอนที่เห็นพ่อแม่ตัวเองถูกยิง และครั้งที่สองตอนที่ตัวแบมเองถูกยิง”


          “ถูกยิง?”


          “ใช่... คดีที่ไทยน่ะ.. พ่อฉันและพ่อแบมเองก็เป็นตำรวจ.. หลังปิดคดีได้พวกมันบางส่วนที่รอดจากการถูกจับกุมก็แค้นพ่อฉันและพ่อแบมมาก.. มันแค้นมากขนาดบุกไปถึงบ้านแบม... และยิงใส่ทุกคนที่มันเจอ... พอพ่อฉันไปถึงที่นั่น... มันก็สายไปแล้ว”


          “.......”


          “แบมเองก็ถูกยิงเหมือนกัน... แต่โชคดีที่พวกนั้นคิดว่าแบมตายแล้ว แต่จริงๆแล้วเขายังหายใจ แม้ลมหายใจจะอ่อนแรงเต็มทีก็เถอะ... พ่อแอบพาแบมมาพักรักษาตัวที่นี่ เพราะพ่อเป็นที่พึ่งเดียวที่แบมมี แล้วปล่อยข่าวออกไปว่าทุกคนในบ้านถูกฆ่ายกครัวเพื่อความปลอดภัยของคนที่ยังมีชีวิตอยู่”


          “ฉันจำได้ว่าวันนั้น.. พ่อพาแบมมาที่เกาหลี นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นเขา อาการของเขาน่าเป็นห่วง.. นายคิดดู เด็กคนนึงจะทนพิษบาดแผลขนาดนั้นได้ยังไง... แต่รู้มั้ย?.. เขาเข้มแข็งมาก... เขารอดมาได้.. แต่พอฟื้นขึ้นมา เขาก็ไม่พูดกับใคร เอาแต่เก็บตัวเงียบ ร้องไห้ตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับไป.. พ่อขอให้ฉันดูแลเขา เล่นกับเขา ทำให้เขามีความสุขที่สุด.. ฉันเองก็ไม่ชอบน้ำตาอยู่แล้ว... เลยพยายามทำทุกทางเพื่อที่จะได้เห็นรอยยิ้มจากเด็กคนนั้นแทนที่จะเป็นน้ำตา..” ยูคยอมสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วเริ่มเล่าต่อ


          “แต่สิ่งที่ฉันได้กลับมาคือความเจ็บปวดทั้งหมดของเขา... เขายิ้มให้ฉัน..ขณะที่น้ำตายังคงไม่หยุดไหล... เพราะเขาเป็นห่วงความรู้สึกของฉันที่พยายามทำเพื่อเขา...” มาร์ครับรู้ได้ว่ายูคยอมเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน...


          “........”


          “นี่แหละคือแบมแบม... ฉันถึงทั้งรัก ทั้งห่วง และหวงเขามาก.. กว่าเขาจะข้ามกำแพงแห่งความเจ็บปวดนั้นมาได้... มันต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนนายรู้มั้ย? กว่าเขาจะก้าวผ่านความทรงจำอันเลวร้ายมาได้ เขาต้องเสียน้ำตาไปมากมายแค่ไหนนายรู้มั้ย? แม้ฉันจะรู้ว่าทุกวันนี้... เขาก็ยังคงอยู่กับมันก็ตาม... แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำให้คนที่รักและเป็นห่วงเขาต้องมาคอยกังวลใจไปกับเขาด้วย..”


          “แบมน่ะ... ผ่านเรื่องเลวร้ายมามาก ฉันหวังว่านายจะเป็นเรื่องดีๆ หนึ่งในไม่กี่เรื่องของเขานะ”


          “เป็นอะไร?” เมื่อเห็นว่าคนข้างๆที่เดินมาด้วยกันเอาแต่เหม่อจนรถเกือบจะชน จนแบมแบมต้องกระชากตัวเขาหลบแทบไม่ทัน มาร์คที่เพิ่งจะได้สติก็ทำหน้าตาตื่นตระหนกจนแบมแบมอดไม่ได้ที่จะขำกับท่าทางแบบนั้น


          “ส่งผมแค่นี้ก็พอ กลับบ้านดีๆนะครับ อย่าเดินเหม่อจนโดนรถชนเข้าล่ะ” แบมแบมว่า


          “เป็นห่วงพี่เหรอ?” มาร์คถามพลางเดินเข้าใกล้แบมแบมมากขึ้น


          “ก็แค่บอกไว้... ว่าห้ามเป็นอะไรนะ” แบมแบมแตะมือลงบนไหล่มาร์ค “ห้ามเป็นอะไรตกลงมั้ย?” มาร์คไม่ตอบเพียงแต่ดึงอีกคนเข้าสู่อ้อมกอด


          “ตกลง... พี่จะไม่เป็นอะไรเด็ดขาด... พี่สัญญา... ”


          “ขอบคุณครับ” แบมแบมยกมือขึ้นมากอดตอบอีกคน มาร์คผละออกจากแบมแบม เขายกมือขึ้นประคองใบหน้าอีกคนอย่างเบามือ



          “จูบได้มั้ย?” มาร์คถาม แต่แบมแบมก็แค่ฟาดมือลงบนไหล่เขาเท่านั้น


          “จูบนะ” มาร์คไม่รอให้แบมแบมทำอะไรเขาอีก เขาก็จัดการประกบริมฝีปากลงบนริมฝีปากอวบอิ่มของอีกคนไปแล้ว เขาจูบแบมแบมอยู่นานจนอีกคนต้องทุบไหล่ประท้วงมาร์คถึงยอมปล่อยให้ปากของแบมแบมเป็นอิสระ หลังจากได้รับอิสระ แบมแบมก็ผลักมาร์คออกเบาๆ



          “ถ้าไม่รอให้อนุญาต.. ทีหลังก็ไม่ต้องขอ” แบมแบมค้อนใส่มาร์ค


          “งั้นทีหลังจะไม่ขอนะ เพราะยังไงก็จะจูบอยู่ดี” แล้วมาร์คก็ได้หมัดหนักๆของแบมแบมเข้าเต็มหน้าอกไปแทนคำตอบ ทั้งคู่ยิ้มให้กันก่อนที่มาร์คจะให้แบมแบมเข้าห้องไปก่อนที่ตัวเขาเองจะเดินกลับบ้านเช่นทุกวัน



*

*

*



          สองขายาววิ่งด้วยความรวดเร็วก่อนที่จะมาหยุดอยู่ที่หน้าเซฟเฮาส์ แม้จะหอบจากการวิ่งมาเป็นระยะทางพอสมควร แต่เขาก็ไม่คิดจะหยุดพักไปนานกว่านี้ แบมแบมก้าวเข้าไปด้านในทันทีเมื่อเจ้าหน้าที่นายหนึ่งเปิดประตูให้


          เมื่อมาถึงตัวเซฟเฮาส์ ประตูห้องประชุมที่ควรจะปิดเอาไว้กลับถูกเปิดอ้าออก.. นั่นแปลว่าการประชุมได้เสร็จสิ้นลงแล้ว แบมแบมถอนหายใจเบาๆ.. มาไม่ทันสินะ


          เขาลอบถอนหายใจอีกครั้ง เพราะสาเหตุที่ทำให้เขาต้องมาสายนี่ก็คือมาร์ค ต้วน นี่แหละ เขาบุกไปหาผมที่ห้องแต่เช้า ก่อกวนทุกสิ่งอย่าง ไล่ก็ไม่กลับ ทำยังไงก็ไม่ยอมแพ้สักที เฮ้อ


          แบมแบมก้าวช้าๆเข้ามาในห้องที่มีผู้ใหญ่หลายท่านเดินสวนออกไปเรื่อยๆ


          “ขอโทษครับ ผมมาสาย” แบมแบมเอ่ยกับคุณอาหรือก็คือคุณพ่อของยูคยอมที่กำลังยืนคุยอยู่กับยูคยอมอยู่ภายในห้อง... คุณอาหันมาหาเขาก่อนจะยิ้มให้


          “ผมต้องทำอะไรบ้างครับ?”


          “ไม่ต้องทำอะไร... เพราะงานนี้อาไม่ให้เธอทำ"


          “ทำไมล่ะครับ? ถ้าผมมาสาย..”


          “ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอก”


          “ถ้างั้น... ทำไมล่ะครับ?"


          “มันอันตรายเกินไป" อันตรายเกินไป? งานแบบนี้ผมทำมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ทำไมคุณอาท่านถึงบอกว่ามัน อันตรายล่ะ


          "ไม่หรอกครับ ผมเคย.."


          "มันไม่เหมือนกัน.. เชื่ออานะ"


          "แต่.."


          "พรุ่งนี้อาจะให้คนไปส่งที่โรงเรียน ตอนเย็นจะให้คนไปรับ.. ตั้งใจเรียนล่ะ" คุณอาวางมือลงบนไหล่ผม


          "ครับ" ผมจำต้องรับปากออกไปอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆทั้งสิ้น.. แม้ท่านจะเป็นพ่อบุญธรรมของผม.. แต่ผมเชื่อฟังท่านเสมือนท่านเป็นพ่อแท้ๆของผมเอง ผมไม่อยากทำให้ท่านผิดหวัง ท่านบอกให้ผมตั้งใจเรียนผมก็จะทำ... แล้วพอผมเรียนจบผมก็จะได้สอบบรรจุเข้าเป็นตำรวจในหน่วยปฏิบัติการพิเศษได้สักที...


          คุณอาเดินออกจากห้องไป เหลือเพียงแค่ผมและยูคยอมเท่านั้น


          "นายไม่ต้องห่วงนะ ที่เหลือฉันจะจัดการให้เอง" ยูคเอ่ยด้วยสีหน้ามุ่งมั่น.. ผมขมวดคิ้วใส่เพื่อนรัก.. แต่ยูคก็หลบหน้าผม..


          มันต้องมีอะไรสิ แม้ยูคจะรู้นิสัยผมดี.. แต่อย่าลืมว่าผมก็รู้นิสัยเขาไม่แพ้กัน มันจะต้องมีอะไรที่ผมยังไม่รู้แน่ๆ


          "ไปกินข้าวกันมั้ย? หิวจังเลย" ยูคยอมหัวเราะออกมาอย่างร่าเริงพลางทำท่าจะเดินออกจากห้อง...


          ผิดปกติจริงๆด้วย..


          "ยูค" ผมเรียกเขาเบาๆ ซึ่งเขาก็ชะงักไปแต่ไม่ได้หันหลังกลับมามองผมหรอก "นายห้ามไม่ให้ฉันโกหก... แต่นายกำลังทำในสิ่งที่นายห้ามฉัน"


          "......"


          "นายรู้นิสัยฉันดีใช่มั้ย?"


          "ไม่นะแบม..." เขาหันกลับมาจับตัวผมไว้ "นายเชื่อฉันเถอะ.. ฉันขอแค่ครั้งนี้" แววตาอ้อนวอนของยูคทำเอาหัวใจผมกระตุก..


          ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมกำลังนึกถึงความเป็นไปได้ที่คดีครั้งนี้... อาจจะเกี่ยวข้องกับตัวผมเองโดยตรง


          หรือว่า...


          "นายก็รู้นี่ว่าฉันต้องทำตามที่คุณอาบอกอยู่แล้ว" ผมยิ้มให้เขา "พรุ่งนี้รบกวนด้วยนะ" ยูคที่เหมือนจะนิ่งไปครู่หนึ่งกับท่าทีของผม เขาลอบถอนหายใจแต่สีหน้าก็ยังคงไม่คลายความกังวล


          "หิวแล้วล่ะ.." ผมเอ่ยพร้อมยกมือขึ้นลูบท้องตัวเอง เขาเลยรีบพาผมออกไปหาอะไรกินทันที


          ขอโทษนะ... แต่ฉันคิดว่าฉันรู้แล้วล่ะ




#ฟิคสั้นมาร์คแบม



Black Riddle 6


สิ่งที่ผมกลัวมีอย่างเดียว... คือการสูญเสีย...






          มาร์คดึงแบมแบมเข้ามากอดแน่นจนคนที่โดนกอดตัวเกร็ง... เขากอดแบมแบมแน่นขึ้นพร้อมๆกับลูบหัวแบมเบาๆ หมัดที่แบมแบมกำค่อยๆคลายออก...


          “อย่าทำแบบนี้เลยได้มั้ย?” เขาเอ่ยเสียงแผ่วข้างหูผม... “พี่ขอร้อง”


          “แค่ใช้ชีวิตของตัวเองแบบที่เคยเป็นก่อนจะรู้จักกัน... มันไม่ยากหรอก” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ผมก็ยังไม่มั่นใจตัวเองเลย... ว่าสิ่งที่พูดออกไป ผมจะทำได้จริงๆมั้ย?


          “มันไม่ยาก...” เขากอดผมแน่นขึ้น “แต่พี่ไม่อยากทำ...”


          “เลิกยุ่งกับผมเถอะ” ผมหลับตาลงแน่นเมื่อพูดจบ... ผมกำลังรู้ความรู้สึกของตัวเองชัดเจนก็ตอนนี้... หัวใจมันเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน... แต่ผมไม่ควรให้ใครรู้... โดยเฉพาะเขา


          “ผมไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับคุณ” ผมกลั้นใจพูดออกไป...


          เคยได้ยินมั้ย?... การปกป้องที่ดีที่สุด ก็คือการทำร้าย


          มาร์คคลายอ้อมกอดก่อนจะมองหน้าผม ใบหน้าเขาดูผิดหวัง 


          ผมเข้าใจ... และผมขอโทษ






          “ถึงปากนายจะบอกว่าไม่ชอบพี่... แต่รู้มั้ย? แววตานายมันไม่ใช่” พูดจบมาร์คก็ล็อคท้ายทอยแบมแบมแล้วดันหลังอีกคนให้แนบชิดผนังห้องทันที ก่อนจะกดริมฝีปากลงบนริมฝีปากอีกคนหนักๆ...


          แบมแบมยกมือขึ้นมาหวังจะผลักอีกคนออก แต่มันกลับกลายเป็นเกาะแขนอีกคนไว้แน่น เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้น เขาคงได้ทรุดลงไปนั่งที่พื้นแน่ๆ มาร์คยกมือขึ้นโอบรั้งเอวบางให้แนบชิดกับตัวเองมากขึ้น จูบหนักๆแปรเปลี่ยนมาเป็นจูบที่เนิบนาบไม่ได้ลุกล้ำ ก่อนที่มาร์คจะผละริมฝีปากเขาออกมา ก็ยังไม่วายกดจูบย้ำลงไปที่ปากอิ่มของอีกคนอีกหลายที..


          “เห็นมั้ย? นายโกหกไม่เก่งจริงๆ” มาร์คเอ่ยก่อนทำท่าจะจูบอีกรอบ แต่แบมแบมไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น เขาเอาหน้าซบลงกับไหล่มาร์คเพื่อหนีการจูบ ก่อนจะโกยอากาศเข้าปอด


          “อยาก...โดนฆ่า.. จริงๆ.. ใช่มั้ย?” ผมขู่ไปพร้อมกับหอบไป ก็รู้ว่าขู่ไปก็ไม่ได้อะไร... แต่... ผมไม่รู้จะพูดอะไรในเวลาแบบนี้


          มาร์คหัวเราะเบาๆก่อนจะจูบลงบนใบหูของผมซ้ำแล้วซ้ำอีกจนผมต้องร้องห้ามให้เขาหยุด... แค่นี้ผมก็อายจะแย่อยู่แล้ว..


          “พอแล้ว...” ผมพยายามเอี้ยวตัวหลบเขา แต่ไม่ว่าจะหลบยังไง เขาก็สามารถตามมาจูบผมได้ทุกครั้ง ทีนี้ไม่ใช่แค่ที่ใบหู แต่มันเป็นทุกส่วนที่ใกล้กับปากเขาเลยล่ะ... ผมล่ะอยากจะตีเข่าใส่จริงๆเลย หมั่นไส้


          “ถ้าไม่หยุดไม่ต้องมาคุยกันอีก” มาร์คชะงัก ผมเลยได้แต่โล่งใจ.. ให้ตาย คนประเภทนี้นี่มัน...


          “หยุดแล้ว...” เขายิ้มแฉ่งออกมาจนเห็นเขี้ยว พลางกระชับมือที่กอดเอวผมอยู่ให้แน่นขึ้น “ทีนี้คุยกันได้แล้วใช่มั้ย?” แบมแบมเงยหน้าขึ้นมองมาร์คตาขวาง แต่มาร์คกลับมองว่าท่าทางแบบนี้มันช่างน่ารัก ถึงตาจะค้อนแต่หน้าแดงเป็นลูกตำลึงขนาดนี้ใครๆก็ดูออกว่าพยายามกลบเกลื่อนเต็มที่


          “โกหกไม่เก่งเลยนะแบมแบม”


          “ผมไม่ชอบโกหก... แต่ผมพูดจริงๆ อย่ายุ่งกับผมเลย ผมอันตรายเกินไป” แววตาของแบมแบมดูเศร้าลง แม้จะแค่เล็กน้อยแต่มาร์คก็ยังสังเกตได้


          “พี่ไม่กลัว...”


          “แต่ผมกลัว...” แบมแบมหลบตามาร์คเพราะไม่อยากให้เขาเห็นว่าแววตากำลังสั่นไหวแค่ไหน... มาร์คใช้มือเชยคางอีกคนขึ้นมา แบมแบมขืนเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ยอมเงยหน้าขึ้น... พวกเขามองลึกลงไปในดวงตาของกันและกัน จนแบมแบมรู้สึกว่า... เขาสูญเสียคนๆนี้ไปไม่ได้...


          “ผมไม่อยากสูญเสียอะไรไปอีกแล้ว” ยิ่งคิดว่าชีวิตจะต้องสูญเสียอะไรไปอีก ผมยิ่งทนไม่ไหว... ถ้าให้ผมต้องเสียเขาไปอีก ผมรับไม่ไหว...


          ทุกวันนี้ผมพยายามทำตัวเองให้เข้มแข็งขึ้น สร้างเกราะต่างๆนานๆขึ้นเพื่อปกป้องตัวเองจากความเสียใจ... ภายนอกผมเป็นแบบนั้น... เข้มแข็ง เพื่อให้ทุกคนที่เป็นห่วงผมสบายใจ... แต่จะมีใครรู้ว่าจริงๆแล้ว ใจผมมันไม่ได้แกร่งตามเลย... ผมยังคงฝันร้ายทุกคืน... ฝันถึงแต่เรื่องเดิมๆ เหตุการณ์เดิมๆซ้ำๆ


          น้ำใสๆเอ่อล้นดวงตากลม เขาไม่ได้เก็บซ่อนความรู้สึกอีกต่อไป... ต่อหน้าคนๆนี้ เขาอยากจะบอกทุกสิ่ง ทุกความรู้สึก...


          มาร์คยกมือขึ้นประคองใบหน้าหวานก่อนจะปาดน้ำตาเบาๆ แบมแบมมองลึกเข้าไปในดวงตาของมาร์ค... เขารู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด ก่อนที่มาร์คจะจูบลงบนหน้าผากอีกคนเบาๆเพื่อปลอบประโลม แบมแบมหลับตาลงรับการปลอบของมาร์คอย่างเต็มใจ...


          “เล่าให้ฟังได้มั้ย? ระบายมันออกมาบ้าง”


          “ผม... ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน” มาร์คจับมือแบมแบมเอาไว้แน่นเป็นเชิงให้กำลังใจอีกคน แบมแบมสบตามาร์คก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ “ผม...”


          ก็อก ก็อก


          เสียงเคาะประตูที่หน้าห้องเรียกสติแบมแบม เขาผละออกจากมาร์คก่อนจะใช้ความคิด ใครจะมาเคาะประตูห้องเขาได้อีก... นอกจากยูคและคุณอา ก็ไม่มีคนอื่นแล้วที่รู้จักที่นี่ หรือว่าจะเป็น... ยูค


          ถ้าเป็นยูคจริงล่ะ...


          RRRrrrr


          ไม่ทันให้ได้คิดอะไรต่อก็ต้องสะดุ้งกับแรงสั่นเตือนจากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง พอหยิบออกมาดูก็พบกับเบอร์คนที่ตัวเองกำลังกังวลอยู่... ไม่รอช้าแบมแบมก็กดรับสายทันที


          (แบม ทำอะไรอยู่? ตอนนี้ฉันอยู่หน้าห้องนาย เปิดประตูให้ฉันหน่อย)


          “เอ่อ.. ทำไมนายยังไม่กลับบ้านอีกล่ะ”


          (นายเป็นอะไรรึเปล่าแบม? ทำไมเสียงแปลกๆ) แบมแบมปาดคราบน้ำตาลวกๆและพยายามทำเสียงตัวเองให้ปกติที่สุด... ก็คนกำลังร้องไห้ เสียงแปลกๆก็ไม่ผิดหรอก


          “ไม่ได้เป็นอะไร พอดีเพิ่งอาบน้ำเสร็จ” ผมจำเป็นต้องโกหกคำโตออกไป... ยูคเงียบ... ผมเลยชิงพูดต่อ “ฉันง่วงแล้วล่ะ แค่นี้ก่อนนะยูค” แบมแบมกลั้นใจรอฟังคำตอบของยูค กระทั่งได้ยินประโยคที่คุ้นเคยเขาก็โล่งใจ


          (พักผ่อนเยอะๆนะ นายเหนื่อยมาหลายวันแล้ว) แบมแบมรับคำก่อนจะกดวางสาย เขาถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้... รู้สึกโล่งใจที่ยูคไม่ติดใจสงสัยอะไรมาก อีกอย่างที่โล่งคือ... อีกคนที่อยู่ในห้องของเขาตอนนี้ ถ้ายูครู้... เรื่องใหญ่แน่ๆ ไม่ทันให้แบมแบมได้รู้สึกโล่งใจได้ดีนัก เขาก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่ออีกคนที่ว่า เอามือมารวบเอวตัวเองไว้จากทางด้านหลัง จนเขาต้องหันไปค้อนใส่


          “เมื่อกี้คุยกับใคร?” มาร์คเอ่ยถามพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น


          “ปล่อยก่อน” แบมแบมเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุ และพยายามแกะมือปลาหมึกของผู้ชายที่ชื่อมาร์ค ต้วน ออกไปจากเอว... แต่อีกคนก็ทำหูทวนลม แถมยังเอาหน้ามาเกยไหล่บางไว้อีกด้วย “ผมบอกให้ปล่อยไง.. อยากเจ็บตัวใช่มั้ย?” มาร์คหัวเราะขำกับท่าทางของแบมแบมที่ตอนนี้ทำฮึดฮัด.. แต่จริงๆแล้วหน้าแดง หูแดงเพราะเขินเขาอยู่


          แบมแบมจิ๊ปากอย่างขัดใจ อยากจะถองศอกใส่คนข้างหลังจะแย่.. มาร์คยิ่งเห็นก็ยิ่งอยากแกล้ง เขาจึงจูบลงบนไหล่บางเบาๆ นั่นก็ทำให้แบมแบมถึงกับหน้าชา


          “นี่!!!!” แบมแบมโวยวาย ขณะที่มาร์คได้แต่ยิ้มขำ “ปล่อยผมได้แล้ว! ถ้าไม่ปล่อย พรุ่งนี้ผมจะให้หัวหน้าห้องผมไปโฮมรูมแทน” คราวนี้คำขู่ของแบมแบมได้ผล... มาร์คค่อยๆคลายอ้อมกอดออกช้าๆอย่างไม่อยากปล่อย


          แบมแบมจึงหันหน้ามาเผชิญกับมาร์คตรงๆ พลางส่งสายตาดุมาให้ มาร์คจึงยกมือขึ้นเป็นเชิงว่ายอมแพ้ แบมแบมเลยได้แต่ถอนหายใจ... ผู้ชายคนนี้นี่มัน..


          “กลับไปได้แล้ว” มาร์คส่ายหน้ารัว ทำท่างอแงเหมือนเด็กๆที่ร้องจะเอาขนมแล้วไม่ได้ “กลับไปเถอะครับ ก่อนที่จะค่ำไปกว่านี้”


          “แต่พี่ยังไม่อยากกลับเลย... น้ำตาแบมยังติดตาพี่อยู่” มาร์คเดินเข้าไปใกล้แบมมากขึ้นก่อนจะยกนิ้วชี้ขึ้นเกลี่ยที่หางตาแบมแบมเบาๆ “มีอะไรอยากเล่าให้พี่ฟังมั้ย?” แบมแบมยกมือของตัวเองขึ้นมาจับมือมาร์คเอาไว้ ไม่ได้เป็นการปัดมืออีกคนออกจากใบหน้าตัวเอง แต่เป็นการจับมืออีกฝ่ายอย่างตั้งใจ


          “สิ่งที่ผมกลัวมีอย่างเดียว... คือการสูญเสีย...” ทั้งสองคนมองลึกลงไปในดวงตากันและกัน


          “แบมแบม... มันไม่มีอีกแล้วนะ การสูญเสีย พี่สัญญาว่าจะไม่ไปไหน” มาร์คบีบมือแบมแบมแน่น


          “มันไม่เหมือนกัน... การสูญเสียแบบที่ผมหมายถึง ไม่ใช่การเลิกรา... หรือหนีหายไปจากชีวิตผม... แต่มันหมายถึงหายไปจากโลกนี้.. หายไปแบบไม่มีวันกลับมาอีกเลย”


          “ถ้าเป็นเรื่องนั้น... ให้มันเป็นเรื่องของอนาคตได้มั้ย? ปัจจุบันมันสำคัญกว่าไม่ใช่หรอ?”


          “แต่...”


          “ไม่มีใครรู้สิ่งที่มันยังไม่เกิดหรอกนะ วันข้างหน้าจะเป็นยังไงก็ช่างมันสิ ขอแค่ทำวันนี้ให้มีความสุขมันก็พอแล้วไม่ใช่หรอ?”


          “แต่ผมอันตรายนะ” แบมแบมมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด... ผมอันตรายจริงๆนะ รอบๆตัวผมมีแต่เรื่องเสี่ยงๆ มีแต่เรื่องไม่ปลอดภัย.. ลำพังแค่ตัวผมเองก็ยังไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน... ดังนั้นผมประกันชีวิตให้ใครไม่ได้เลย แม้กระทั่งตัวเอง...


          “ก็แค่เด็กดื้อ ไม่เห็นจะอันตรายตรงไหน” มาร์คว่าพลางใช้มืออีกข้างบีบจมูกแบมแบม “ดื้อมากๆต้องโดนลงโทษนะรู้มั้ย?” มาร์คชิงหอมแก้มแบมแบมฟอดใหญ่ จนคนโดนหอมตีเข้าให้ที่แขน...


          “หยุดเลยนะ! เห็นผมไม่สู้นี่ไม่ใช่ว่านึกอยากทำอะไรก็ทำนะ” แบมแบมชี้หน้าอย่างคาดโทษ แต่สุดท้ายก็พ่นลมหายใจอย่างปลงๆ “กลับบ้านเถอะครับ มืดแล้วนะ”


          “ยังไม่อยากกลับเลยยยย” มาร์คทำท่างอแงใส่แบมแบมไม่เลิก ทั้งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ทำตัวเหมือนเด็กๆจนแบมแบมเริ่มทนไม่ไหว


          “กลับไปเดี๋ยวนี้นะ... พี่มาร์ค” มาร์คหยุดงอแงทันทีที่ได้ยิน เขายิ้มจนตาหยีเห็นฟันเขี้ยวทั้งสองข้าง เป็นรอยยิ้มที่มีความสุขอย่างปิดไม่มิด... แบมแบมเรียกเขาว่า พี่มาร์ค


          “พรุ่งนี้เรายังเหมือนเดิมใช่มั้ยแบมแบม?” คนที่โดนถามเลิกคิ้วขึ้นพลางเมินไปทางอื่น ไม่ใช่อะไร... ผมแค่เขินแปลกๆ


          “เหมือนปกติ แล้วก็ห้ามเรียกผมว่าแบมแบมด้วย” มาร์คพยักหน้ารับ


          “พรุ่งนี้ให้มารับมั้ย?”


          “ไม่ต้อง! ผมบอกแล้วไงว่าเหมือนปกติ”


          “ก็อยากเจอเร็วๆนี่... นี่ก็ไม่อยากจากแล้ว” แบมแบมทำหน้าเอือมระอากับผู้ชายที่ชื่อมาร์ค ต้วน อย่างสุดขีด คนแบบนี้เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก.. จนกระทั่งมาร์คยอมกลับบ้านแต่โดยดี... เพราะเห็นสายตาเด็ดขาดของอีกคน


          แบมแบมเปิดประตูให้มาร์คออกจากห้อง แต่ก็ต้องตกใจเพราะที่หน้าประตู คนที่เขาคิดว่ากลับบ้านไปแล้วยืนอยู่ด้วยท่าทางเคร่งเครียด มาร์คที่กำลังเดินตามแบมแบมมาที่ประตูก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นบุคคลที่สาม


          ไม่ทันให้ได้พูดอะไร... ยูคยอมก็ตรงเข้ามากระชากคอเสื้อของมาร์คทันที เขาผลักมาร์คกระแทกกับโต๊ะจนข้าวของบนนั้นหล่นลงมากองอยู่ที่พื้น.. ดีที่ของที่หล่นลงมาเป็นแค่หนังสือ ไม่ใช่กระเบื้องหรือแก้ว ไม่อย่างนั้นคงได้มีคนเหยียบจนเลือดอาบกันไปบ้างล่ะ


          “ยูค อย่า!!” แบมแบมร้องห้ามพลางพยายามดึงตัวยูคยอมออกจากมาร์ค ถึงจะมีวิชาการต่อสู้พอๆกัน... แต่ยังไงยูคก็มีแรงมากกว่าแบมแบมอยู่ดี..


          ยูคยอมง้างหมัดขึ้นเตรียมจะต่อยหน้ามาร์ค


          “อย่าทำนะยูค” แบมแบมเอ่ยแผ่วเบา ราวกับเสียงกระซิบ... ราวกับคำขอร้อง...


          ยูคยอมลดมือลงพร้อมกับคลายมือที่กำคอเสื้อของมาร์คออกช้าๆ แบมแบมเดินเข้ามาดูมาร์ค เพราะเมื่อกี้ยูคผลักมาร์คไปกระแทกโต๊ะอย่างแรง... ยูคมองแบมแบมและมาร์คด้วยสายตาที่แบมแบมเองไม่เคยเห็นจากยูค


          “ขอบคุณนะ” แบมแบมเอ่ยเบาๆกับเพื่อนรัก ก่อนจะพามาร์คไปนั่งบนเก้าอี้ใกล้ๆกัน ยูคยอมยังคงยืนอยู่ที่เดิม จนแบมแบมเดินเข้ามาหา


          “นายโกหกฉัน” สีหน้าผิดหวังของยูคทำเอาแบมแบมรู้สึกผิด... ตั้งแต่รู้จักกันมา หลายครั้งที่ผมไม่พูด... หรือพูดไม่หมด... หรือแม้แต่คิดที่จะโกหก... แต่ยูคยอมมักจะบอกผมอยู่เสมอว่า.. อย่าโกหกเค้า...


          “ขอโทษนะ...” แบมแบมจับแขนเพื่อนรัก “แค่ไม่อยากให้นายเป็นห่วง ฉันขอโทษ...” ยูคยอมมองหน้าแบมแบมอย่างนึกโกรธ... แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถโกรธคนๆนี้ได้... แค่คิด เขายังไม่กล้าเลย...


          “นายอย่าโกหกฉันอีก... รับปากสิ” แบมแบมพยักหน้า ยูคจึงยิ้มบางๆให้ ก่อนจะหันมาส่งสายตาอำมหิตใส่มาร์คแทน “รู้มั้ยว่าเมื่อกี้ที่โดนมันยังน้อยนะ”


          “มันก็น้อยจริงๆอ่ะ” มาร์คพูดพลางยักไหล่... แบมแบมอยากจะเอามือตบหน้าผากตัวเองเสียจริงๆ นั่นปากหรอน่ะ... คนที่เค้าอารมณ์เสียอยู่แล้ว ยิ่งไปพูดจายั่วยุแบบนี้มันก็ยิ่งไปกันใหญ่น่ะสิ


          “นี่!!!” แบมแบมเอ่ยปรามมาร์ค จนมาร์คยิ้มแหยๆ ...เอากับเค้าสิ มาร์ค ต้วน ไม่กลัวยูคยอม แต่กลับกลัวแบมแบมซะอย่างนั้นไป


          แล้วจู่ๆยูคยอมก็หัวเราะออกมาเบาๆ แบมแบมและมาร์คจึงหันไปมองด้วยความไม่เข้าใจ


          “ขอโทษแล้วกันนะเมื่อกี้” แบมแบมแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลยว่าจะได้ยินเพื่อนตัวเองพูดอะไรแบบนี้กับใคร “นี่เห็นว่ากล้าดีอยู่หรอกนะ! ใช้ได้!” มาร์คเองก็งงกับท่าทางของยูคยอมอยู่ไม่น้อย “ไม่ต้องมาทำหน้างงเลย ต่อจากวันนี้ไปนะ... ถ้าฉันรู้ว่านายดูแลแบมไม่ดี ฉันเอาตายแน่”


          “ยูค...” แบมแบมเอ่ยเบาๆ


          “ไม่ต้องสงสัยอะไรทั้งนั้น... แบมไม่เคยปิดบังอะไรฉันได้อยู่แล้วนี่... ท่าทางแบมมันฟ้องหมดทุกอย่าง... สายตาแบมมันบอกออกมาจนหมดเปลือก” ยูคยอมยิ้มให้แล้วดึงแบมแบมเข้าไปกอด


          “มีคนให้เชื่อใจเพิ่มอีกคนนึงแล้วนะแบม...”


          “ขอบคุณนะ”


          “พอและ เลิกซึ้ง” ยูคยอมตัดบทและผละออกจากแบม ก่อนจะชี้หน้ามาร์ค “ส่วนนายอ่ะ กลับเดี๋ยวนี้เลย อยู่นานเกินไปและ!”


          “ก็เพราะใครล่ะ?” มาร์คถามกลับด้วยท่าทางยียวน


          “เออ... ฉันผิดก็ได้... งั้นจะรับผิดชอบด้วยการไปส่งนายถึงบ้านเลย มาร์ค ต้วน!” แบมแบมจึงปล่อยให้ยูคไปส่งมาร์คที่บ้าน เพราะยูคบอกว่าโทรเรียกคนขับรถมารับตั้งนานแล้ว ตอนนี้รออยู่ข้างนอกมาสักพักแล้ว อีกอย่างมันก็มืดแล้วด้วย...


          แบมแบมคงไม่ปฎิเสธหรอกนะ ว่าตอนนี้เขารู้สึกดีแค่ไหน... ขอบคุณนะทั้งสองคน



#ฟิคสั้นมาร์คแบม


Black Riddle 5


ผมเคยสูญเสียมาแล้ว... และผมไม่อยากจะสูญเสียอะไรไปอีก




          ผมเป็นคนไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง... เพราะคำว่าเปลี่ยนแปลง... ความหมายมันมีได้สองทาง... ถ้ามันไม่ได้เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น... มันก็แย่ลง...


          ซึ่งในชีวิตผมส่วนใหญ่แล้ว... การเปลี่ยนแปลง มักจะแย่ลงเสมอ...


          ผมถอนหายใจตลอดการเรียนช่วงบ่าย สาเหตุก็คงไม่พ้นเรื่องที่คนๆนั้นทำไว้เมื่อกลางวันนั่นแหละ... หลังจากที่เขาบอกว่าชอบ... ผมผลักเค้าออก และไล่เขาไป ตอนนั้นผมยอมรับว่าไม่รู้จะทำยังไง... ถ้าเขาพูดเล่นผมคงขำออกมาได้บ้าง... แต่แววตาที่เขามองมามันไม่ใช่... จนบางทีเมื่อผมมองลึกลงไปในแววตานั้น ผมก็กลัว...


          มันไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับผม... นี่เป็นครั้งแรก... ตั้งแต่ย้ายเข้ามาที่โรงเรียนนี้แรกๆ ผมก็กันตัวเองออกจากคนอื่นแล้ว... ไม่ใช่ว่าผมหยิ่ง เพียงแค่ผมไม่อยากให้คนอื่นเข้ามาอยู่ในชีวิตผมมากเกินไปก็เท่านั้น...


          ในแต่ละวันที่มาเรียน ผมก็มักจะมีแผลตามตัวมาอยู่บ่อยครั้ง... บางครั้งก็ที่หน้า บางครั้งก็เป็นแค่รอยฟกช้ำตามตัว... จนหลายคนพากันสร้างข่าวลือหนาหู ว่าผมเป็นพวกคนไม่ดี... เป็นนักเลง อันธพาล... ต่อมาผมก็เริ่มใส่แมสปกปิดใบหน้าจากการได้แผลเวลาฝึกซ้อมหรือจากการปฎิบัติหน้าที่... ซึ่งก็มีคนลือกันอีกว่าผมป่วยเป็นโรคร้ายแรง ซึ่งเรื่องมันก็ค่อยๆกระจายเป็นวงกว้าง... และทุกคนก็เริ่มที่จะกลัวผมขึ้นมาจริงๆ ผมว่ามันก็ดีนะ... ผมก็ไม่ได้อยากให้ใครมายุ่งกับเรื่องของผมนักหรอก


          การอยู่คนเดียวมันดีสำหรับผมและดีสำหรับทุกคน...


          ผมยังจำได้... เมื่อแปดปีก่อน ผมไม่ได้เป็นคนแบบนี้เลย... ผมจำเสียงหัวเราะของตัวเอง... จำรอยยิ้มที่จะปรากฏบนใบหน้าของผมอยู่เสมอไม่ว่ากับใคร... เมื่อก่อน... ผมเป็นแค่เด็กนักเรียนธรรมดาๆที่วิ่งเล่นอยู่ในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในประเทศไทย...


          ผมเป็นแค่เด็ก... ที่ไม่เคยรู้เลย... ว่าการสูญเสียมันเป็นยังไง... และการสูญเสียมันเจ็บปวดแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง... การสูญเสียคนที่รัก


          ปัง!!!!


          ผมสะดุ้งเฮือกกับเสียงออดของโรงเรียนที่มักจะดังตอนหมดคาบเรียน ผมหายใจเข้าและออกลึกๆเพื่อเรียกสติตัวเอง... เสียงปืนที่ยังคงดังก้องในหัว เวลาผมคิดถึงเหตุการณ์นั้น...


          เสียงปืน... ที่พรากคนที่ผมรักทุกคน...


          ผมเก็บสมุดและหนังสือเรียนวิชาประวัติศาสตร์ที่มันไม่ได้เข้าหัวผมเลยลงไปในกระเป๋า ก่อนจะหยิบวิชาต่อไปขึ้นมาเตรียมไว้บนโต๊ะตัวเอง... พร้อมกับหลับตาลง


          ทำไมพักนี้มีเรื่องให้คิดตลอด




          “ก็คนมันชอบไปแล้ว”


          เสียงของเขาดังขึ้นมาในหัวทำเอาผมต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง... เรื่องอื่นก็มีให้คิดเยอะแยะ... ทำไมจะต้องมาคิดไอ้เรื่องนี้ด้วยนะ


          ทำไมมันถึงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจแปลกๆ


          โชคดีที่อาจารย์เดินข้ามาสอนวิชาต่อไปแล้ว ผมเลยเบนความสนใจของตัวเองมาที่หนังสือเรียนและตัวอักษรบนกระดานที่อาจารย์กำลังเขียน...แทนใบหน้าของใครบางคน...


          แต่ไม่นานผมก็กลับมาคิดเรื่องเดิมๆอีก... ทำไมนะ... ทำไมต้องเป็นเขาด้วย... และผมต้องทำยังไง... ไม่ให้ใจตัวเองยอมรับเขาเข้ามา... ผมไม่ชอบเลย การเปลี่ยนแปลง...


          ตั้งแต่วันนั้น... ที่ชีวิตผมได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่พรากเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากผม... เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ผมสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง... เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ผมไม่เคยลืม ผมจำมันใส่ใจ เป็นเครื่องเตือนใจ และเป็นแรงผลักดัน...


          พอนึกย้อนกลับไปทีไร... ใจผมมันก็จะโหวงๆ ผมจำวินาทีที่ผมสูญเสียได้... มันเหมือนผมจะตาย... มันเหมือนหัวใจหยุดทำงาน... มันเจ็บปวด... การมองเห็นพ่อแม่ถูกยิงต่อหน้าต่อตาโดยที่ผมทำอะไรไม่ได้เลย... เป็นความเจ็บปวดที่ติดตัวผมมาจนทุกวันนี้...


          ผมเคยสูญเสียมาแล้ว... และผมไม่อยากจะสูญเสียอะไรไปอีก


          เสียงออดดังบอกเวลาคาบโฮมรูมตอนเย็น... ผมอ่านคำสั่งของอาจารย์ยุนอาในแฟ้ม โชคดีที่ไม่เหมือนเมื่อเช้า... ผมแค่เอาไปแจกแล้วรอเก็บกลับมาเท่านั้น... ผมเก็บของทุกอย่างใส่กระเป๋านักเรียนแล้วหอบเอกสารไปที่ห้องม.5/1ทันที


          เมื่อเข้ามาในห้องผมก็เดินเอากระดาษไปวางบนโต๊ะอาจารย์ แล้วหันหลังเขียนคำสั่งลงบนกระดานแบบครั้งแรกที่เข้ามาโฮมรูม... จริงๆมันจะไม่เป็นแบบนี้ ถ้าตอนนั้น ผมไม่ตามเขาไปนั่งตรงนั้นแต่แรก..


          พอเขียนเสร็จผมก็เดินมายืนที่หน้ากระดานดำแทนที่จะเดินไปนั่งข้างเขา... เหมือนครั้งก่อนๆ เขามองมาที่ผม ซึ่งผมก็ไม่ได้มองเขากลับ แถมยังเมินใส่ด้วยซ้ำ กระทั่งเขาเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าผม... ผมจึงจำเป็นต้องมองเขากลับ...


          “คุยกันหน่อยสิ” เขาเอ่ยเบาๆ ผมจึงหันไปมองเพื่อนในห้องเขาเล็กน้อย... พวกนั้นก็เหมือนจะสนใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่


          “......”


          “ตัวเล็ก”


          “เรียกผมว่ากันต์พิมุกต์ด้วย” ผมเอ่ยเสียงแข็ง แต่เขาก็เอื้อมมือมาจับแขนผมไว้... ผมบิดข้อมือตัวเองออกจากมือเขาด้วยความรวดเร็วแล้วใช้มือผลักหน้าอกเขา “กลับไปทำโฮมรูมให้เสร็จเถอะ” ผมเดินไปยืนที่โต๊ะอาจารย์ทันที ตอนนี้เพื่อนในห้องกำลังมองมาที่พวกเราอยู่... ก็แน่ล่ะ เมื่อกี้ผมผลักเขาไปนี่


          มาร์คถอนหายใจก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะตัวเองตามเดิม... ระหว่างนั้นแบมแบมก็หยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาเพราะมีข้อความเข้า... ข้อความของมาร์ค ต้วน... แต่เขาไม่ได้กดเปิดดู กลับพิมพ์ข้อความไปหาเพื่อนสนิทของตัวเองแทน


          ‘ยูค มารับหน่อย’


          ไม่นานนักยูคยอมก็ส่งข้อความตอบตกลงกลับมา ผมยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกงโดยไม่ได้สนใจแรงสั่นเตือนถึงข้อความเข้าอีกเลย... เพราะผมรู้ดีว่าข้อความที่ส่งมาอย่างต่อเนื่องนั้นคือใคร... หัวหน้าห้องม.5


          เสียงสั่นเตือนมือถือนิ่งไปตอนใกล้ๆจะหมดคาบ ผมเก็บรวบรวมเอางานที่ทุกคนเดินมาส่งไว้ก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อเอาเอกสารไปเก็บที่ล็อคเกอร์ให้เร็วที่สุด... ผมไม่ใช่คนหนีปัญหา แต่คราวนี้ผมขอหนีเถอะนะ... ผมไม่รู้จะจัดการยังไง


          หลังจากล็อคกุญแจล็อคเกอร์แล้ว ผมก็รีบเดินออกมาหน้าโรงเรียนทันที วันนี้เป็นวันที่ผมรีบร้อนออกจากโรงเรียนที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา...


          นั่น... ผมเห็นยูคแล้ว... หมอนั่นมายืนรออยู่ใต้ต้นไม้นอกรั้วโรงเรียน ระหว่างที่ผมเร่งฝีเท้าเดินไปหายูค ก็มีมือของใครคนหนึ่งฉุดแขนผมเอาไว้ก่อน ซึ่งผมก็สลัดมือนั่นออกได้อย่างง่ายดายตามสัญชาติญาณ


          “แบมแบม...” เขาอีกแล้ว... มาร์ค


          “เลิกยุ่งกับผมเถอะ” ผมตัดสินใจพูดสิ่งที่คิดออกไป “ผมไม่ใช่คนดีหรอก” ผมต้องตัดเขาออกไปจากชีวิตให้เร็วที่สุด


          “พี่ทำไม่ได้” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว


          “ลองทำดูแล้วเหรอถึงบอกว่าทำไม่ได้” ผมถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้ “อย่ามาเสียเวลากับผมเลย” ผมเอ่ยก่อนจะผละออกมา แล้วเร่งฝีเท้าไปหน้าโรงเรียนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


          “เมื่อกี้คุยกับใคร?” ยูคยอมเอ่ยถามทันทีที่ผมเดินมาถึงเขา


          “ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะ”


          “เดี๋ยว!” ผมชะงักกับเสียงจากทางด้านหลัง ก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม


          “แบมแบม...”


          ยูคยอมที่ได้ยินมาร์คเรียกแบบนั้นก็เอาตัวเองมาขวางผมเอาไว้ เพราะมาร์คทำท่าจะเข้ามาหา...


          “ไม่มีอะไรหรอกยูค เรากลับกันเถอะ” แบมแบมเอ่ยเบาๆที่ด้านหลังของยูคพลางยกมือขึ้นจับข้อมือยูคก่อนจะฉุดให้ออกเดิน แต่มาร์คก็ไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น ยูคยอมจึงผลักอกมาร์คจนมาร์คเซไปด้านหลัง


          “ผมขอเตือนนะ... กลับไปอยู่ในที่ๆเคยอยู่ซะ” ยูคยอมมองมาร์คตาขวาง


          “กลับบ้านไปเถอะครับ พวกผมจะกลับบ้านเหมือนกัน” ผมโค้งให้มาร์คตามมารยาทก่อนจะรีบดึงแขนยูคยอมให้เดินตามมาทันที... เพื่อนผมเป็นคนอารมณ์ร้อน และมักจะชอบแก้ปัญหาด้วยกำลังเสมอ ขืนปล่อยไว้นานกว่านี้มีหวัง คุณหัวหน้าห้องได้เจ็บตัวแน่ๆ


          “หมอนั่นใคร? แล้วรู้ชื่อนายได้ไง?” ยูคยอมที่ยอมเดินตามผมมาเงียบๆอยู่นาน เอ่ยถามเมื่อเราเดินออกมาไกลจากตรงนั้นแล้ว


          “ไม่มีอะไร...”


          “นายอย่าโกหกฉัน” สิ้นคำของยูคผมเลยได้แต่ถอนหายใจออกมา แล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่า... ตกลง จะเล่าให้ฟังก็ได้


          “เขาชื่อมาร์ค... มาร์ค ต้วน... เป็นหัวหน้าห้องม.5 ที่ฉันต้องเจอไปจนถึงอาทิตย์หน้า ส่วนชื่อฉัน... เมื่อวานเขาบังเอิญเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด.. แล้วก็บังเอิญได้ยินฉันคุยโทรศัพท์กับนาย”


          “แน่ใจหรอว่าบังเอิญ?” ยูคยอมเลิกคิ้วขึ้น... ผมพยักหน้า...


          “นายคิดว่าเขาคนไม่ดีเหรอ?”


          “ไม่นะ... ฉันว่าเขาดูไม่อันตรายสักนิด...” ผมเลิกคิ้วใส่เพื่อนสนิท “แต่ฉันไม่ค่อยชอบขี้หน้าเขาเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นอยู่ให้ห่างหมอนั่นไว้”


          “อืม...” กำลังทำ...


          ยูคยอมเดินมาส่งผมที่ที่พัก เข้ามาตรวจสอบอะไรนิดๆหน่อยจนทั่วห้องเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครแอบเข้ามาหรือมีสิ่งแปลกปลอมใดๆแล้วจึงกลับบ้านตัวเอง


          “ไม่ให้ฉันมานอนเป็นเพื่อนจริงๆหรอแบม?” ผมส่ายหน้า “งั้นนายไปนอนบ้านฉันก็ได้” ผมส่ายหน้าอีก


          “บ้านนายไกลจากโรงเรียนตั้งเยอะ กว่าจะมา กว่าจะไปลำบากจะตาย”


          “ก็ฉันจะให้คนของพ่อขับรถไปส่งนายทุกวันเลยนายก็ไม่ยอม”


          “เกรงใจคุณอาท่าน... นายรีบกลับไปเถอะ เดี๋ยวคุณอาจะดุเอา” ผมผลักยูคยอมให้ออกจากประตูห้องไป


          “เดี๋ยวฉันกลับไปหอบเสื้อผ้ามานอนกับนายดีกว่า” พูดจบยูคยอมก็รีบวิ่งออกไปทันที แบมแบมได้แต่ส่ายหน้าให้กับนิสัยประหลาดๆของเพื่อนตัวเอง... ยูคยอมเหมือนเด็ก...ทั้งๆที่ตัวก็ออกโต... ซึ่งต่างจากผมที่ดูจะเป็นผู้ใหญ่เกินตัว


          ผมปิดประตูแล้วเดินมาเปิดตู้เย็นเพื่อดื่มน้ำ ระหว่างนั้น ก็มีเสียงสั่นเตือนจากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง


          ข้อความเข้า 12 ฉบับ


          ตั้งแต่คาบโฮมรูมจนถึงตอนนี้... ผมกดเข้าไปดูข้อความล่าสุดที่เพิ่งส่งเข้ามาโดยยูคยอม


          ‘ขอเวลาเก็บเสื้อผ้าสักห้านาที แต่ขอเวลาสักสามปี ขออนุญาตพ่อออกไปนอนที่อื่นนะ’


          ผมยิ้มขำกับข้อความของเพื่อนสนิท... แค่นี้ก็รู้แล้วว่ากลัวพ่อขนาดไหน ก็แหงล่ะ พ่อยูคเป็นถึงนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ก็ต้องเคร่งครัดเรื่องระเบียบวินัยเป็นธรรมดา จะขออนุญาตแต่ละเรื่องต้องสมเหตุสมผล และไม่ใช่เรื่องไร้สาระ


          ‘ให้เวลาสามสิบปีเลย’


          ผมกดตอบข้อความไป และกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเปิดดูข้อความอีก 11 ฉบับที่เหลือดีรึเปล่า... ข้อความที่ไม่มีชื่อผู้ส่ง... ข้อความของมาร์ค ต้วน


          ระหว่างนั้นเองยูคยอมก็ส่งข้อความเข้ามาอีกฉบับ


          ‘เปลี่ยนใจแล้วไม่ขอพ่อดีกว่า แอบมานอนกับแบมเลย :P’





          ก๊อก ก็อก


          ผมได้แต่ถอนหายใจกับเพื่อนคนนี้ เพราะหลังจากส่งข้อความมาแล้ว คนที่มาเคาะประตูห้องตอนนี้ก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกซะจากเจ้าตัวนั่นแหละ ผมส่ายหน้าพลางเดินไปเปิดประตูอย่างเสียไม่ได้


          “เลิกเล่นได้แล้ว...” แต่เมื่อผมเปิดประตูออกมา คนที่ยืนอยู่หลังประตูที่ผมคิดกลับไม่ใช่ยูคยอม... ผมรีบปิดประตูกลับไปดังเดิมแต่ก็ไม่ทันเขาอยู่ดี...


          เขาดันประตูแล้วแทรกตัวเองเข้ามาก่อนจะปิดประตูแล้วล็อคกลอน


          แบมแบมตกใจที่คนที่เขาพยายามจะเลี่ยงอย่างมาร์ค เข้ามาอยู่ในห้องเขาและกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้... แต่แบมแบมก็พยายามตั้งสติ... เพราะมาร์คเป็นผู้ชายประเภทที่ไม่ยอมอะไรง่ายๆแน่ๆ เขาเป็นพวกชอบตื๊อ...


          “มาที่นี่ทำไม?” เป็นครั้งแรกที่ผมเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน เพราะเขาไม่ยอมพูดอะไรเลยหลังจากเข้ามาแล้ว


          “.....” เขาไม่ตอบแต่เดินเข้ามาหาผมช้าๆ


          “ออกไป” ผมเอ่ยเบาๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้มขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเขาไม่เพียงไม่ออก แต่กลับเดินเข้ามาหาผมเรื่อยๆ ผมก้าวถอยหลังไปตามจำนวนก้าวที่เขาก้าวเข้ามาหา


          “ผมบอกให้ออกไป... อยากตายจริงๆใช่มั้ย?” ผมขู่เขา ทั้งๆที่ปกติแล้วการขู่ไม่ใช่ทางของผมเลย... นี่ถ้าเป็นคนอื่น ผมจะไม่เสียเวลาขู่หรอก และก็จะไม่ปล่อยให้มาเดินลอยหน้าลอยตาอยู่แบบนี้... ผมต้องซัดสักหมัดสองหมัดแล้วล่ะที่ถือวิสาสะเข้าห้องคนอื่นโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต


          มาร์คยังคงเดินเข้าหาแบมแบมมากขึ้น ด้วยสีหน้าที่แบมแบมเองก็อ่านไม่ออก...


          “ต้องการอะไร?” ผมหยุดก้าวถอยหลัง เพราะถึงก้าวต่อไปอีกไม่กี่ก้าวหลังผมจะชนผนังห้อง... และที่ผมตัดสินใจหยุดถอยหลัง เพราะรู้ดีว่ายังไงเขาก็จะไม่หยุดก้าวเข้ามาหา... คราวนี้ได้ผล เขาหยุดก้าวเข้ามา... แต่หยุดยืนอยู่ในระยะที่ผมว่ามันใกล้กันเกินไป... ห่างกันแค่หนึ่งก้าว...


          “ทำไมต้องไล่พี่ด้วย”


          “ที่นี่ห้องผม และผมไม่อนุญาตให้ใครเข้ามา” ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเขา “กลับไปซะ”


          “แบม...” เขาเดินเข้าหาผมอีกจนผมต้องก้าวถอยโดยอัตโนมัติ


          “ผมว่าผมพูดไปหมดแล้วนะ” ผมถอยหลังมาจนติดผนังอีกฝั่งเขาก็ยังไม่เลิกเดินเข้ามา “หยุดอยู่ตรงนั้นเลย... อย่าให้ผมต้องใช้กำลัง” ผมขู่เขาแต่ก็ไม่เป็นผล... นี่เขาไม่คิดจะกลัวผมเลยรึไงนะ? เพิ่งรู้วันนี้ว่าสกิลการขู่ของผม... มันแย่มาก


          ผมกำมือตัวเองแน่น อยากจะหายไปจากตรงนี้ ผมไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้... แบบที่จะใช้เหตุผลคุยก็ไม่รู้เรื่อง จะใช้กำลังก็ไม่ได้เพราะกลัวอีกคนจะเจ็บตัว... จะให้ผมทำยังไง... ผมจะทำยังไงกับเขาดี


          หมับ


          มาร์คดึงแบมแบมเข้ามากอดแน่นจนคนที่โดนกอดตัวเกร็ง... เขากอดแบมแบมแน่นขึ้นพร้อมๆกับลูบหัวแบมเบาๆ หมัดที่แบมแบมกำค่อยๆคลายออก...


          “อย่าทำแบบนี้เลยได้มั้ย?” เขาเอ่ยเสียงแผ่วข้างหูผม... “พี่ขอร้อง”


          “แค่ใช้ชีวิตของตัวเองแบบที่เคยเป็นก่อนจะรู้จักกัน... มันไม่ยากหรอก” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ผมก็ยังไม่มั่นใจตัวเองเลย... ว่าสิ่งที่พูดออกไป ผมจะทำได้จริงๆมั้ย?


          “มันไม่ยาก...” เขากอดผมแน่นขึ้น “แต่พี่ไม่อยากทำ...”


          “เลิกยุ่งกับผมเถอะ” ผมหลับตาลงแน่นเมื่อพูดจบ... ผมกำลังรู้ความรู้สึกของตัวเองชัดเจนก็ตอนนี้... หัวใจมันเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน... แต่ผมไม่ควรให้ใครรู้... โดยเฉพาะเขา


          “ผมไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับคุณ” ผมกลั้นใจพูดออกไป...


          เคยได้ยินมั้ย?... การปกป้องที่ดีที่สุด ก็คือการทำร้าย


          มาร์คคลายอ้อมกอดก่อนจะมองหน้าผม ใบหน้าเขาดูผิดหวัง



          ผมเข้าใจ... และผมขอโทษ



#ฟิคสั้นมาร์คแบม



Black Riddle 4


เขาจะกลายเป็นข้อยกเว้นสำหรับผม...




          เช้านี้ที่น่าวุ่นวายสำหรับผมได้เกิดขึ้นอีกแล้วสินะ... หลังจากตื่นมาหน้าก็บวมปูด แมสก็ปิดไม่ได้หมดเลยต้องเอาพลาสเตอร์ยามาแปะโหนกแก้มไว้ให้ปลายพลาสเตอร์ยื่นออกมาจากแมสเล็กน้อย... มันต้องมีคนเห็นแน่เลยวันนี้... ผมใช้มือปัดๆให้ผมด้านหน้าลงมาปิดหน้ามากขึ้น มองตัวเองในกระจกก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง


          ให้ตายเถอะ... แบมแบม...จะรอดมั้ยเนี่ยวันนี้


          วันนี้ผมตื่นเช้ากว่าปกติ เพื่อมาจัดการซ่อนรอยต่างๆนาๆ ทั้งๆที่ก็ใช้ครีมหรือที่เรียกว่าคอนซีลเลอร์ปิดในส่วนที่แมสปิดไม่ถึงตามที่ยูคเคยบอกให้ใช้แล้ว แต่มันก็ยังพอมีรอยให้เห็นถ้าสังเกตดีๆ


          เสียงสั่นเตือนข้อความดังขึ้น ผมเอื้อมมือไปหยิบมือถือบนโต๊ะมาก่อนจะละสายตาจากกระจกแล้วเปิดข้อความนั่นดู


          'มาเรียนไหวมั้ย?'


          ผมกรอกตาไปมากับข้อความที่แผ่หราอยู่บนจอ


          ตั้งแต่เมื่อวานที่ผมตัดสินใจส่งข้อความไปบอกเขาว่า...


          'ถึงแล้ว'


          เขาก็ตอบกลับมาแทบจะทันทีที่ผมโยนโทรศัพท์ลงบนเตียง


          'นอนพักซะนะ ตัวเล็ก'


          ให้ตายเถอะ... 'ตัวเล็ก' ผมอยากจะเอามือทึ้งหัวไอ้รุ่นพี่หัวหน้าห้องคนนั้นจริงๆ


          มุ้งมิ้งได้อีก... ผมไม่ได้ตัวเล็กสักหน่อย เผลอๆอีกไม่กี่ปีผมจะสูงกว่าเขาแน่ๆล่ะ


          ผมไม่ได้ตอบข้อความกลับไป เพียงแค่ยัดมือถือลงกระเป๋ากางเกงก่อนจะหยิบกระเป๋ามาพาดไหล่แล้วเดินไปโรงเรียน วันนี้ผมไม่ได้เตรียมแซนวิชอย่างทุกวัน เพราะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวาน... มีขนมปังและน้ำผลไม้ของคนๆนั้นอยู่... สรุป นี่แหละข้าวกลางวันของผมล่ะ...


          ไม่นานผมก็เดินมาถึงโรงเรียน ตอนนี้นักเรียนยังมากันไม่เยอะ ก็อย่างที่บอก ผมตื่นเช้ากว่าปกติ ดังนั้นผมก็เลยมาเช้ากว่าปกติ


          ผมเดินลิ่วๆไปที่ห้องของตัวเองทันที พอถึงห้องก็เห็นนักเรียนหญิงบางคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว ผมรีบก้มหน้าหลบไปตามสัญชาติญาณทันที กระทั่งเดินมาถึงโต๊ะตัวเอง... ให้ตายเถอะ พวกผู้หญิงนี่จะมาทำไมกันเช้าๆแบบนี้นะ


          ผมวางกระเป๋าก่อนจะเดินไปไขกุญแจล็อกเกอร์ของตัวเองที่หลังห้อง แล้วหยิบแฟ้มที่อาจารย์ยุนอาให้ไว้ออกมา เตรียมโฮมรูม...


          ให้ตายสิ


          ผมอ่านคำสั่งคร่าวๆของคาบโฮมรูมวันนี้แล้วก็ต้องกุมขมับ... อะไรคือการที่อาจารย์สั่งให้นักเรียนเขียนสรุปบทความ... แล้วผมก็ต้องเป็นคนอ่านบทความให้พวกนั้นฟัง...



          ให้ตายเหอะ! ให้ตายจริงๆ!! สภาพผมเป็นแบบนี้เนี่ยนะ!!!


          ผมจะไปขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าห้องผมดีมั้ยนะ? ให้เธอไปคุมห้องโน้น แล้วเดี๋ยวผมคุมห้องนี้แทน... ผมมองไปที่เธอที่หันมามองผมหวาดๆก่อนจะหันกลับไปอย่างรวดเร็ว... ให้ตาย... จะกลัวอะไรนักหนา


          ผมเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง เลือกไม่ได้สินะ... ผมปิดล็อกเกอร์แล้วรวบเอากระดาษมาถือไว้ ก่อนจะเดินเอามันไปวางไว้ที่โต๊ะตัวเอง แล้วหยิบบทความของอาจารย์ขึ้นมาอ่านทำความเข้าใจก่อนที่จะต้องไปยืนอ่านให้คนอื่นฟัง


          หรือผมจะเอาไปถ่ายเอกสารแล้วแจกดีนะ?...


          แต่อย่าดีกว่า... ทำนอกเหนือคำสั่งเดี๋ยวจะเป็นผมเองที่โดนอาจารย์เฉ่ง


          "กะ..กันต์พิมุกต์ มีคนมาหา" เสียงของหัวหน้าห้องผมดังขึ้นเบาๆที่หน้าประตูห้อง ผมละสายตาจากตัวหนังสือแล้วเงยหน้าขึ้นมอง... ก่อนที่คิ้วจะขมวดเข้าหากัน... ใครจะมาหาผม? เมื่อเห็นว่าผมขมวดคิ้วมองไปเธอก็รีบเดินออกไปดันให้คนที่ยืนอยู่ข้างนอกเข้ามาแทน แล้วคิ้วผมก็คลายปมก่อนจะเปลี่ยนเป็นถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นหน้าคนที่มาหา...


          คุณหัวหน้าห้องม.5


          เขาเดินเข้ามาหาผมที่โต๊ะโดยที่มีเพื่อนในห้องเหลือบมองมาเป็นระยะๆ พอเผลอสบตากับผมพวกนั้นก็จะรีบหันกลับไปทันที ผมมองผู้มาใหม่ที่ตอนนี้ก้มหน้าลงมามองผมในระดับสายตา ผมเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม... มาทำไม?


          "มารับ" ผมอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อเขาตอบแบบนั้น... ทำอย่างกับอ่านใจคนได้อย่างงั้นแหละ


          ผมยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ในใจก็อยากจะทึ้งหัวไอ้คนตรงหน้าใจจะขาด... ไอ้นี่มัน!


          "ไปเร็ว..." เข้ายื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น "ตัวเล็ก" เขาเอ่ยเบาๆ ทำเอาผมต้องถลึงตาใส่เขาอย่างเอาเรื่อง


          ผมจิ๊ปากไปทีนึงก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ


          "ยังไม่ถึงเวลา" แล้วผมก็ก้มหน้าลงไปอ่านบทความอีกครั้งต่อให้จบ ก่อนจะรู้สึกถึงแรงกดเบาๆที่กลางหน้าผาก เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบนิ้วชี้เรียวๆกำลังจิ้มที่หน้าผากผมอยู่ ผมปัดมือเขาออกไปแล้วค้อนใส่


          เขายิ้มให้ผมจนตาหยี แล้วดึงบทความในมือผมไปถือไว้แล้วเดินออกจากห้องไปทันที...


          เฮ้ย! ไอ้บ้านิ่


          ผมกรอกตาไปมา ขบกรามแน่นเก็บความโมโหพลางสูดหายใจเข้าออกลึกๆ... ไอ้!


          สุดท้ายแล้วผมก็ต้องรวบเอากระดาษทั้งหมดบนโต๊ะที่อาจารย์เตรียมไว้สำหรับให้เขียนสรุปมาถือไว้แล้วเดินออกจากห้องตามมา... จนได้สิหน่า ให้ตายเถอะ!


          ผมก้าวออกจากห้องเรียนแล้วก็พบว่าเขายืนพิงกำแพงห้องด้านนอกรออยู่... ผมเดินไปทางเขาก่อนจะมองเขาตาขวาง เขายกมือขึ้นเป็นเชิงว่ายอมแพ้ ผมถอนหายใจเบาๆอย่างปลงๆ ก่อนจะออกเดิน... เขาเดินตามมาจนเดินเสมอกัน


          พอมาถึงห้องม.5 เขาก็บอกให้ผมนั่งที่โต๊ะข้างๆตัวเดิมก่อนเพราะยังไม่ถึงคาบโฮมรูม...


          ก็นั่นน่ะสิ! มันยังไม่ถึงคาบโฮมรูม! แล้วบังคับพามานี่ก่อนเวลาเพื่ออะไร!


          "ตัวเล็กกินข้าวมายัง?" คนข้างๆที่ไม่ยอมให้ผมได้อยู่แบบปกติสุขถามขึ้นมา ทำเอาผมหันไปถลึงตาใส่อีกรอบ


          ให้ตาย! ตัวเล็กบ้าบออะไร!


          "ตัวเล็กทำไมชอบทำหน้าบึ้ง?"


          "หยุดเรียกผมแบบนั้นสักที" ผมขบกรามแน่น อยากจะซัดหน้ากวนๆนั่นด้วยหมัดสักทีสองที


          "งั้นก็เรียกพี่มาร์คก่อน" ผมกรอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่น ให้ตายเถอะ! ให้ตายยยย ดีนะที่ผมความอดทนสูงมากพอที่จะไม่เผลอเอาหมัดเสยคางเขาให้สลบไป ปากจะได้เงียบสักที


          เสียงออดดังบอกเวลาเข้าคาบโฮมรูมทำเอาผมต้องถอนหายใจอีกรอบ... ผมทำท่าจะลุกขึ้นจากโต๊ะแต่คนข้างๆก็ฉุดข้อมือให้นั่งลง ผมหันไปขมวดคิ้วใส่เขาอีกรอบ


          "นั่งเถอะ เดี๋ยวพี่จัดการเอง" ว่าแล้วเขาก็รวบกระดาษบนโต๊ะไปถือไว้ทั้งหมด แล้วเดินไปหน้าห้องทันที ก่อนจะวางกระดาษในมือลงที่โต๊ะอาจารย์แล้วบอกให้เพื่อนเดินมาหยิบไปคนละแผ่น


          เขาหันมายิ้มให้ผมทีนึงก่อนจะเริ่มอธิบายคำสั่ง เพื่อนในห้องพยักหน้าเข้าใจแต่ก็ยังคงสงสัยว่าทำไมผมถึงไม่ไปทำหน้าที่นี้เอง


          ผมถอนหายใจเบาๆก่อนจะยกยิ้มมุมปากขึ้นน้อยๆ แน่นอนว่าไม่มีใครเห็นเพราะผมใส่แมสอยู่...


          ผมหยิบกระดาษบนโต๊ะเขา ที่จะใช้สำหรับเขียนสรุปงานในคาบโฮมรูมมาวางไว้ที่หน้าตัวเอง ก่อนจะกดปากกาในมือ แล้วเขียนยุกยิกๆลงไปบนกระดาษนั่น


          มาร์คเงยหน้าจากตัวหนังสือแวบหนึ่งเพื่อมองการกระทำของร่างบางก่อนจะยกยิ้มน้อยๆแล้วอ่านบทความต่อไป ผ่านไปเกือบสิบห้านาที มาร์คก็อ่านบทความจนจบ เขาเดินมานั่งที่ของตัวเอง ก่อนจะเห็นกระดาษที่ก่อนหน้านี้คนข้างๆเอาไปเขียนอะไรไม่รู้... เขาอ่านตัวหนังสือไม่เกินบรรทัดก็ต้องร้องอ๋อ... ร่างบางที่นั่งข้างๆ เขียนสรุปบทความให้ผมนี่เอง แถมยังเขียนเสร็จก่อนที่ผมจะอ่านจบเสียอีก... ไม่แปลกหรอกนะ เพราะเขาอ่านมันไปแล้วก่อนหน้านี้ไง


          "สรุปให้พี่หรอ? ขอบคุณนะ" ผมเอ่ยเบาๆเพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน ผมก็กลัวเพื่อนเอาไปฟ้องอาจารย์เหมือนกันนี่ฮะ


          "อือ" ร่างบางครางตอบในลำคอ "หายกัน" ผมยิ้มน้อยๆให้คนข้างๆที่ไม่ยอมหันมามองผม... เอาแต่นั่งหูแดงอยู่นั่น


          ผมรับกระดาษปึกใหญ่ในมือของคุณหัวหน้าห้องม.5มาถือไว้ในมือ ก่อนจะโค้งให้เล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องไป... หมดคาบสักทีสินะ


          ระหว่างที่ผมเอางานมาเก็บไว้ที่ล็อกเกอร์อาจารย์ยุนอา ผมก็ได้รับข้อความจากยูค หรือยูคยอม เพื่อนสนิทของผมเอง


          'เสาร์นี้ประชุม ที่เดิม'


          ผมพิมตอบกลับไปทันที


          'อืม'


          ผมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง ก่อนที่จะต้องหยิบออกมาอีกรอบเพราะมันสั่นเตือนว่ามีข้อความเข้ามาอีกฉบับ


          'กลางวันนี้ไปกินข้าวด้วยนะ' ข้อความนั่นทำเอาผมหน้าชา...


          แม้ชื่อคนส่งจะยังไม่ถูกผมเปลี่ยนเป็นชื่ออื่น


          มันยังคงเป็นตัวเลขเรียงกันสิบตัว...


          เป็นคนเดียวที่ผมไม่ได้เมมชื่อไว้ในเครื่อง…


          และเป็นคนเดียวกับคนที่ผมเพิ่งเจอเขาไปเมื่อกี้…


          คุณหัวหน้าห้องม.5



          เสียงออดพักกลางวันดังขึ้น วันนี้เป็นวันแรกที่ผมรีบกุลีกุจอเก็บของ แล้วนั่งเขย่าขารอให้อาจารย์เดินออกจากห้องไปสักที ผมจะได้รีบออกจากห้องแล้วไปหาที่นั่งที่อื่นกินข้าว... อาจเป็นที่ไหนสักที่ๆเงียบๆ ไม่มีคนพลุกพล่าน... ถ้าหาไม่ได้จริงๆผมกะจะกินในห้องน้ำให้มันรู้แล้วรู้รอดไป


          แต่ทำไมวันนี้อาจารย์ออกจากห้องช้าจังครับ? เก็บของนานกว่าทุกวันจนผมแปลกใจ อาจารย์เงยหน้าขึ้นมองผมก่อนจะเอ่ยเรียกให้เดินไปหาแล้วบอกให้เพื่อนๆคนอื่นลงไปกินข้าวกันได้เลย เหลือผมไว้คนเดียวพอ...


          คืออะไร....


          ผมจำต้องเดินไปหาอาจารย์หน้าห้อง


          "เมื่อวานนี้อาจารย์ยุนอาโทรมาหาครู... เธอฝากครูถามว่า... ทุกอย่างเรียบร้อยดีมั้ย?"


          "ครับ"


          "แค่นี้แหละจ้ะ แต่เอ้ะ...หน้าเธอดูแปลกๆนะ" ผมรีบก้มหน้างุด "เป็นอะไรรึเปล่า?" ครูทำท่าจะเดินลงมาดูผมใกล้ๆ


          "อาจารย์ครับ" เสียงทุ้มดังขึ้นที่หน้าห้องก่อนจะตามด้วยเจ้าของเสียง


          คุณหัวหน้าห้องม.5...


          "อ้าว มาร์คเธอมีธุระอะไรกับครูหรือเปล่า?"


          "อ๋อเปล่าครับอาจารย์... ผมมีธุระกับเด็กคนนี้ต่างหาก" เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วเอาแขนคล้องคอผมไว้หลวมๆ


          "นี่มาหาเรื่องน้องรึเปล่า?" มาร์ครีบโบกมือพัลวัน


          "ผมไม่ใช่คนแบบนั้นนะครับอาจารย์... ผมแค่จะมาพาน้องไปกินข้าวเฉยๆครับ" เขาหันมามองหน้าผมก่อนจะหันไปหาอาจารย์อีกครั้ง "น้องเค้าไม่ค่อยสบายเลยต้องดูแลดีๆหน่อยครับ" ผมเหลือบตาไปมองคนข้างๆเล็กน้อย...


          "งั้นก็ดีเลย... ครูฝากเธอด้วยนะ ครูไปล่ะ" อาจารย์สาวเดินออกจากห้องไป ร่างบางข้างๆที่มาร์คกำลังกอดคออยู่ก็ถองศอกเข้าที่สีข้างมาร์คอย่างจัง ก่อนที่เขาจะเดินไปที่โต๊ะของตัวเอง โดยมีอีกคนเดินตามมาไม่ห่าง


          "ตัวเล้กกกกกก" แบมแบมหันขวับไปที่เจ้าของเสียงนั่นทันที


          "เลิกเรียกแบบนั้นสักทีเถอะครับ!"


          "กินข้าวกัน" ว่าพลางดึงคนที่ตัวเองเพิ่งเรียกไปเมื่อกี้ให้นั่งลง… แล้วจัดแจงลากเก้าอี้อีกตัวมาวางตรงข้ามกันแล้วเปิดกระเป๋าเอาของกินออกมาวางบนโต๊ะ


          "ผมจะไปกินข้างนอก" ผมทำท่าจะลุกออกจากโต๊ะแต่เขาก็กดไหล่ผมให้นั่งลง...


          ผมจิ๊ปากอย่างไม่พอใจ... คนๆนี้นี่มัน...


          "รีบกินเถอะ เดี๋ยวมีคนเข้ามานะ" ผมกรอกตาไปมาด้วยความเหนื่อยใจก่อนจะถอนหายใจยาวๆ...


          ให้ตาย ตื้อชะมัดยาก นี่ผมเลี่ยงไม่ได้อีกแล้วใช่มั้ย?


          ผมเลยหยิบขนมปังกับน้ำผลไม้ที่เขาให้ผมเมื่อวานขึ้นมาวางบนโต๊ะ... เขาชะงักก่อนจะหยิบมันกลับคืนไป แล้วส่งขนมปังอันใหม่มาให้ผมแทน อันที่ใหญ่กว่าอันเดิม... แล้วตามด้วยน้ำผลไม้ เกลือแร่ และขนมอีกหลายห่อ



          "ซื้อมาฝาก" ผมเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง แล้วมองหน้าเขาตรงๆ... เขามองผมกลับบ้างแล้วยิ้มให้




          "ถามจริงๆ ทำแบบนี้กับผมทำไม?" ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคม... ถ้าเป็นคนอื่นคงจะหลบตาเพราะกลัวผมกันไปหมดแล้ว... แต่เขาไม่... เขาจ้องตาผมกลับอยู่นาน... จนเป็นผมเองที่อยากจะหลบสายตาคู่นั้นไป


          "ไม่รู้สิ" เขาบอก... ผมหลุบตาลงต่ำ เพราะรู้ว่าหากเล่นเกมจ้องตากันต่อไป... ผมจะแพ้ "พี่อยากทำก็ทำอ่ะ ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีหรอกนะ... พี่ไว้ใจได้!" เขาเอามือตบที่หน้าอกตัวเองเบาๆหลายที ผมหลุดหัวเราะกับท่าที่เขาทำ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เรียบ ก็ผมขำเค้านิ่... คนอะไรชมตัวเองได้หน้าตาเฉย


          แล้วผมก็ตัดสินใจถอดแมสออกเพราะถ้าไม่รีบกินตอนนี้ผมก็จะหิวไปตลอดคาบบ่ายเลย


          “นายชอบกินอะไรบ้างอ่ะ?” จู่ๆเค้าก็ถามผมขึ้นมา... ผมกัดขนมปังเข้าปากแล้วมองหน้าเขานิ่งไม่ได้ตอบอะไรเพราะใช้การเคี้ยวเป็นข้ออ้าง... กระทั่งเขารอให้ผมเคี้ยวเสร็จและจะกัดคำต่อไป... เขาก็ถามย้ำขึ้นมาอีกรอบ... คนอะไร ขี้ตื้อชะมัด


          “ขอผมกินก่อนได้มั้ย? เดี๋ยวคนอื่นมาเห็น” เขาพยักหน้ารับ ผมเลยจัดการขนมปังในมือต่อให้เสร็จ... ซึ่งเขาก็นั่งเงียบกินขนมปังของตัวเองไป และไม่ถามอะไรผมอีกเลยกระทั่งผมหยิบแมสขึ้นมาใส่ไว้ตามเดิม... เขาก็เริ่มยิงคำถามมาอีก...


          โอยยย คนๆนี้นี่มัน... พูดมาก ขี้สงสัย ขี้ตื้อ กวนประสาท กวนสมาธิ และเข้าใจยาก


          “ยังปวดอยู่มั้ย? หน้านายบวม ไปหาหมอเอายามาทากินเถอะ” ผมส่ายหน้า “นายไม่รักตัวเองเลยหรอ?” ผมเลิกคิ้วให้กับคำถามนี้... ทำไมถามอะไรแบบนั้น มีใครบ้างไม่รักตัวเอง...


          “ผมชินแล้ว เดี๋ยวมันก็หาย”


          “ทำไมนายต้องสู้กับพวกนั้นด้วย...”


          “ไหนบอกจะไม่ยุ่งเรื่องนี้ไง” เขานิ่งไป ผมถอนหายใจทันที... รู้สึกไม่ค่อยดีเลยที่มีคนมารับรู้อะไรที่ผมทำ... เพราะนั่นไม่ใช่แค่ผมที่ไม่ปลอดภัย... เขาก็อาจจะไม่ปลอดภัยไปด้วย


          “กลับห้องไปเถอะ แล้วอย่าทำแบบนี้อีกเลย... ต่างคนต่างอยู่” ผมหันหน้าหนีไปอีกทาง...


          จริงๆมันก็มากพอแล้วที่ผมยอมฟังเขา... ยอมพูด... ยอมตอบคำถามเขาขนาดนี้... ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ คนที่ผมพูดด้วยมากที่สุดก็คืออาจารย์ประจำชั้น... เพราะเธอชอบเรียกผมไปช่วยงาน... ด้วยความที่ผมเป็นคนหัวไว เรียนดี และไม่เคยเกี่ยงงานที่อาจารย์มอบหมายให้ไปทำเลย... แต่มันก็แค่บางเวลาเท่านั้น...


          แต่กับคนๆนี้ ผมว่าผมยอมเค้ามากไปแล้วล่ะ...  เห็นทีคงจะต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม... ผมจะให้เขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผมไม่ได้...


          ถ้าเขาทำแบบนี้ต่อไปทุกวัน... ผมจะชินกับมัน และเขาจะกลายเป็นข้อยกเว้นสำหรับผม...


          ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย... ไม่ใช่ว่าผมดูคนไม่เป็น... เพราะผมดูคนออก ว่าใครมาดีหรือมาร้าย... ผมรู้ว่าเขาไม่ได้คิดร้ายอะไรกับผม... ผมเลยปล่อยให้เขาเข้ามายุ่งกับชีวิตผมทีละนิด... เพราะคิดว่าไม่เป็นไร... แต่ดูเหมือนมันจะค่อยๆมากขึ้น...


          จนมันเริ่มจะมากเกินไปด้วยซ้ำ...


          นั่นมันไม่ดีเลย... ทั้งกับตัวผมเอง... ทั้งกับภาระหน้าที่ๆผมทำ... และกับตัวเขาเอง


          “ขอโทษนะ...” เขาเอ่ยเรียกผมให้หลุดจากความคิดของตัวเอง... มาร์คขยับยื่นหน้าเข้ามาใกล้เล็กน้อย... ผมเหลือบตาไปมองเขาและก่อนที่จะได้เอ่ยไล่อะไรอีกรอบ... เขาก็หอมเข้าที่แก้มผมไปแล้ว


          “นี่!!!” ผมลุกขึ้นกระชากคอเสื้อเขาแล้วถลึงตาใส่อย่างเอาเรื่อง... ผู้ชายคนนี้มันบ้าจริงๆนั่นแหละ... อยู่ดีๆก็มาหอมแก้มคนอื่นเค้าเฉยเลย รู้จักกันก็เพิ่งรู้จัก สนิทหรือก็ไม่... ไอ้!


          “ขอโทษนะ...” เขาเอ่ยออกมาอย่างหน้าตาเฉย... เป็นคำขอโทษอีกครั้ง


          “แต่พี่เลิกยุ่งกับนายไม่ได้หรอก...” ผมขมวดคิ้วเป็นปมแน่น แต่เขากลับยกมือขึ้นมาจับมือผมที่กำปกคอเสื้อเค้าอยู่ตอนนี้


          “ก็คนมันชอบไปแล้ว”





#ฟิคสั้นมาร์คแบม


Black Riddle 3


เมื่อถึงเวลา... ทุกอย่างจะดำเนินไปในทิศทางที่มันควรจะเป็น





          ระหว่างที่กำลังเดินใจลอยคิดถึงเด็กคนนั้น... สายตาผมก็เหลือบไปเห็นร่างคุ้นตาในชุดนักเรียนโรงเรียนเดียวกัน... เด็กคนนั้นจริงๆด้วย แมสขนาดใหญ่นั่นเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี


          ร่างบางตรงหน้านั่งเอาหลังแนบไปกับต้นไม้ใหญ่ที่มีพุ่มไม้ไม่สูงมากอยู่ข้างๆ ก่อนที่จะหยิบเสื้อคลุมสีน้ำตาลเข้มออกมาสวมทับเสื้อนักเรียน... ไม่นานหลังจากนั้น เด็กนั่นก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดยิกๆ เหมือนกำลังพิมพ์ข้อความ ด้วยใบหน้าเครียดๆ คิ้วทั้งสองข้างขมวดเป็นปม ผมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆด้วยเสียงเบา ก่อนจะแอบอยู่หลังตู้โทรศัพท์เยื้องๆกับต้นไม้ที่เด็กนั่นนั่งอยู่... โชคดีที่ตู้โทรศัพท์ค่อนข้างมีหญ้าขึ้นสูงและรกพอสมควร ทำให้ผมแอบได้อย่างมิดชิด ผมยังไม่ละสายตาไปจากร่างบางที่เลิกกดยิกๆในโทรศัพท์แล้วเปลี่ยนเป็นยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูแทน


          “ฉันรอไม่ไหวแล้วนะยูค นายอยู่ไหน?”


          ร่างบางเอ่ยกับปลายสาย คิ้วได้รูปยังคงขมวดเป็นปม ผมได้ยินที่เด็กนั่นพูดเพราะอยู่ไม่ห่างเท่าไหร่



          (นายอย่าเพิ่งทำอะไรบ้าๆนะ ฉันกำลังจะถึง ไม่เกิน5นาที)


          “นานเกินไป พวกมันกำลังจะหนี”


          (พวกมันมีปืนนะแบม นายใจเย็นก่อน)


          “ฉันรู้ว่ามันมีปืน แต่ฉันรอนานไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว โทษทีนะ”



          (แบม!)



          เขากดตัดสายทันทีก่อนที่จะพุ่งออกไปทางด้านหลังต้นไม้ใหญ่เมื่อครู่


          ถ้าเมื่อกี้ผมฟังไม่ผิด เขากำลังพูดถึงปืน...




          ปืน... เด็กนี่กำลังพูดถึงปืน





          แม้จะยังอึ้งกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน... แต่ผมก็ไม่รอช้ารีบตามเด็กนั่นไปทันที... และผมก็ตามมาทันจนได้... แต่ภาพที่ผมเห็นทำเอาผมต้องช็อคไป... ไม่อยากจะเชื่อตาตัวเอง



          เด็กคนนั้นกำลังต่อสู้กับผู้ชาย2คน โดยมีผู้ชายอีกคนกำลังเดินออกไปพร้อมกับยกมือแนบหูฟังที่อยู่ที่หู... นี่มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย


          เด็กนั่นเตะต่อยได้อย่างคล่องแคล่วก็จริง... แต่ด้วยความที่เขามีแค่คนเดียวเลยมีช่องว่างให้อีกฝ่ายมากขึ้น เขาเสียหลักหลายครั้งเพราะโดนเตะแต่ก็ยังยืนขึ้นและสวนหมัดออกไปได้อย่างหวุดหวิด เขาเหวี่ยงหมัดเสยใต้คางของผู้ชายคนหนึ่งก่อนที่เขาเองจะโดนชายอีกคนเตะเข้าที่ด้านหลัง ตอนนี้ชายที่โดนหมัดเสยคางล้มลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้นอย่างหมดท่า และเด็กนั่นก็เสียหลักล้มลงไปนั่งที่พื้น ก่อนที่มือหนาของอีกฝ่ายจะกระชากคอเสื้อของเขาไว้แล้วต่อยเข้าที่ใบหน้าหลายหมัด... ใบหน้าหวานมีเลือดซึมออกมาเปื้อนแมสที่ใส่อยู่ ก่อนที่ชายคนเดิมจะผลักร่างบางลงไปนอนกับพื้น ร่างบางพยายามดันตัวเองขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายชักปืนออกมาจากเสื้อตัวเอง


          “ตายเถอะมึง” เสียงทุ้มคำรามก่อนจะเหนี่ยวไก








          ปัง!!


          ผมยกมือขึ้นปิดปาก... ปะ ปืนจริง!



          ภาพตรงหน้าผมตอนนี้คือชายที่เหนี่ยวไกปืนเมื่อครู่ล้มลงไปนอนกองกับพื้น ก่อนจะมีร่างสูงใหญ่ของอีกคนวิ่งถือปืนเข้ามาเตะปืนในมือผู้ชายคนนั้นออกไป และเข้าไปพยุงร่างบางที่นอนอยู่ที่พื้นขึ้นมา


          “ตามไป! มันหนีไปได้คนนึง ทางโน้น” ร่างบางพูดกับชายผู้มาใหม่ “ไปเร็วยูค!!” ร่างสูงขมวดคิ้วหนาก่อนจะตัดสินใจวิ่งไปตามที่ร่างบางบอก ร่างบางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มือข้างหนึ่งดึงหน้ากากอนามัยออกก่อนจะยัดมันลงกระเป๋ากางเกง แล้วใช้มืออีกข้างปาดเลือดที่มุมปาก


          เขาเดินไปหยิบปืนที่ตกอยู่ แล้วเดินไปเปิดเสื้อคลุมของคนที่เพิ่งโดนเขาเสยคางไป ก่อนจะหยิบปืนออกมาจากในเสื้ออีกกระบอก



          ร่างหนาที่โดนยิงล้มลงไป ตะเกียกตะกายยันตัวเองลุกขึ้น ร่างบางใช้ปืนในมือตบเข้าไปที่ใบหน้านั่นอย่างแรงจนหน้าหันแล้วนอนแน่นิ่งไปกับพื้น


          “นอนรอพ่อมึงตรงนี้นะ อย่าไปไหน”



          สิ้นเสียงร่างบาง เสียงไซเรนรถตำรวจก็ดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินข้ามชายคนนั้นออกมา แล้วปล่อยปืนในมือทั้งสองกระบอกไว้ที่พื้นซึ่งห่างจากร่างทั้งสองที่นอนแน่นิ่งอยู่ไกลพอสมควร



          เขากำลังเดินตรงมาทางผม ซึ่งผมก็กระโดดหลบไปหลังพุ่มไม้ใกล้ๆกันก่อนที่เด็กนั่นจะทันได้เห็น ร่างบางหันไปมองทางเดิมที่เดินออกมาก็พบว่ามีตำรวจหลายนายกำลังรุดเข้ามาจากอีกทาง เขาจึงหันหลังกลับแล้วเดินต่อ ผ่านจุดที่ผมยืนอยู่ไปโดยที่ไม่ทันสังเกต... เขาเดินไปหยิบกระเป๋านักเรียนที่วางไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ในตอนแรก ก่อนจะหยิบเอากระดาษทิชชู่ในกระเป๋าขึ้นมาปาดเลือดบนใบหน้าอย่างลวกๆ แล้วหยิบแมสอันใหม่ขึ้นมาสวมไว้ก่อนจะออกเดินอีกครั้ง



          เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก... เร็วจนผมจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกเลยสักอย่าง... นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน! เด็กคนนั้น... เป็นใครกันแน่ วิชาการต่อสู้แบบนั้นไม่ใช่การชกต่อยกันแบบเด็กวัยรุ่นธรรมดาทั่วๆไปแน่ๆ... มันดูมีชั้นเชิง... แล้วพวกนั้นก็เก่งใช่ย่อยเลย แต่แด็กนี่ก็สู้พวกนั้นได้อย่างน่าประหลาด ทั้งๆที่ตัวเองยังอยู่ม.ปลายแท้ๆ... ถือเป็นการประมือกันอย่างสูสี... และปืนนั่นอีก... จะให้คิดยังไงได้... ของอันตรายแบบนั้นจะมาถือกันเกลื่อนแบบนี้ได้ยังไง...


          ผมแอบสะกดรอยตามเด็กนั่นมาตามทางเรื่อยๆ แม้จะยังไม่เข้าใจอะไร... แต่เด็กนี่ก็บาดเจ็บอยู่ไม่น้อยเลย ตัวแค่นี้ทนรับแรงเตะต่อยจากชายฉกรรจ์แบบนั้นไหวได้ยังไงนะ...


          ผมเดินตามเด็กนั่นไปเรื่อยๆ กระทั่งร่างบางเดินเลี้ยวไปทางหัวมุมข้างหน้า ผมเดินตามไปแอบมองอยู่หลังมุมตึกก็เห็นว่าเขาชะงักไปแล้วเอามือกุมที่ท้องด้านซ้ายของตนเองก่อนจะเซไปเล็กน้อย ผมจะเข้าไปช่วยทันทีที่เห็นภาพ... แต่เขาก็พยายามพยุงตัวเองให้เดินไปนั่งที่ม้านั่งยาวที่อยู่ข้างหน้าไม่ไกลจากกันมากนัก ร่างบางถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นพลางหลับตาราวกับกำลังซึมซับความเจ็บปวด ก่อนจะสูดหายใจเข้าออกยาวๆอีกหลายครั้ง คิ้วที่ขมวดเข้าหากันเป็นปมนั่นทำให้ผมนึกเป็นห่วง... คงจะเจ็บมากสินะ ผมเดาว่าเขาคงจุก เพราะเท่าที่เห็นการต่อสู้ของเด็กนั่น ถึงแม้จะไม่ได้เห็นตั้งแต่แรกเริ่มเลยก็เถอะ แต่เด็กคนนั้นก็โดนเตะไปหลายทีอยู่เหมือนกัน



          มือบางข้างหนึ่งยังคงกุมที่ท้องของตนเอง ส่วนอีกข้างล้วงเข้าไปหยิบเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงที่สั่นเตือนอยู่ มองที่หน้าจอแล้วกระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะกดรับ


          "ไงยูค ทันรึเปล่า?" ร่างบางพยายามทำเสียงให้ดูร่าเริงสุดๆ



          (มันก็ทันอยู่ แต่มันส่งของไปแล้วน่ะสิเลยจับได้แต่ตัว)



          "น่าเสียดายนะ" ร่างบางถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้



          (เรื่องนั้นช่างเถอะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนที่เค้ารับผิดชอบไป เดี๋ยวเค้าก็ไปเค้นหากันเอาเองแหละ)



          "ก็คงต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว" ร่างบางเม้มริมฝีปากเข้าหากันภายใต้หน้ากากอนามัยนั่น...


          (ว่าแต่นายเถอะ ไหวมั้ย? ตอนนี้อยู่ไหน? เดี๋ยวไปหา)



          "ฉันเนี่ยนะจะไม่ไหว แบมแบมซะอย่าง"


          (แต่สภาพนายเมื่อกี้มันไม่ได้บอกแบบนั้นเลยนะแบม เจ็บมากมั้ย?)


          "ไม่เจ็บสักนิด! นายก็รู้ว่าฉันถึกจะตาย..."


          (นี่ถ้าฉันไปไม่ทัน นายจะมีปากมาอวดอ้างความถึกของตัวเองอยู่แบบนี้มั้ยนะ?)


          "อืม... ยังไงก็ขอบใจนะที่มาทัน" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาหวิว "เพราะงั้นนายเลยต้องทนฟังฉันอวดอ้างว่าตัวเองถึกต่อไป เสียใจด้วยนะยูค ฮะๆ" ร่างบางหัวเราะเบาๆ


          (นายอย่ามาทำเป็นเล่น ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าทำอะไรบ้าๆ นายนี่มันเหลือเกินจริงๆนะ!!)


          "พอเลยๆ บ่นอยู่ได้... ฉันไม่คุยกับนายแล้ว หิวข้าว เดี๋ยวไปหาอะไรกินก่อน"


          (เห้ยเดี๋ยวไปเป็นเพื่อน!)



          "ไม่ต้อง บาย" ร่างบางกดตัดสายไปก่อนจะยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกงดังเดิม



          เฮ้อ... หาอะไรกินดีล่ะ เข้าร้านข้าวตอนนี้คงได้แตกตื่นกันทั้งร้านแน่ เผลอๆอาจจะมีผู้หวังดีพาไปส่งโรงพยาบาลเลยก็ได้...ถ้ามีคนเห็นหน้าผมตอนนี้นะ... ไอ้หิวมันก็หิวอยู่หรอก... ก็แหงล่ะ... ใช้พลังไปเยอะเลย ไอ้พวกบ้านั่นก็ไม่ออมมือให้เลย ถีบเข้ามาได้ รู้แล้วว่ารองเท้าน่ะประหนึ่งคอมแบท... แน่จริงใส่รองเท้านักเรียนแบบฉันสิ 3ต่อ1ก็ไม่หวั่น


          จะว่าไปก็จุกจริงๆนะ ไม่น่าพลาดเลย... จิ๊ปากอย่างเสียดายเมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อกี้


          "ปากแข็งจังนะ" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นด้านข้างของร่างบางที่นั่งหัวเสียอยู่ เขาชะงักไปเมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาเป็นใคร... คุณหัวหน้าห้องม.5 ทำไมมาอยู่นี่อ่ะ!


          ผมรีบหันหน้ากลับก่อนจะลุกขึ้นยืนเตรียมเดินออกจากตรงนี้... มันไม่ดีแน่ๆที่จะมาเจอคนรู้จักในสภาพนี้ ยิ่งเป็นคนที่โรงเรียนด้วยแล้ว ยิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่



          "หิวข้าวไม่ใช่หรอ?" ผมชะงักขาที่กำลังจะก้าวเดิน...


          อย่าบอกนะว่าเขาแอบฟังผมคุยโทรศัพท์เมื่อกี้ ก่อนที่เขาจะเดินอ้อมมาดักหน้าผมไว้ แล้วยิ้มให้



          "นี่ข้าวของนาย" เขายื่นถุงพลาสติกในมือมาทางผม "ถือสิ!" เขาออกคำสั่ง... ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย


          นี่ผมไม่ใช่นักเรียนห้องคุณนะ คุณถึงจะมีสิทธิ์มาสั่งผมน่ะ... ผมคิดงั้น แต่มือก็ยื่นออกไปรับเอามาไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว... เมื่อผมรับถุงนั่นมา เขาก็ล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะยื่นแบงค์หมื่นวอนมาให้ผม ผมเลิกคิ้วน้อยๆเป็นเชิงถาม


          "เงินค่าข้าวของนาย..." ผมขมวดคิ้วก่อนจะคลายออกเพราะนึกได้... อ่า... ผมก็ลืมไปแล้วว่าจ่ายแบงค์อะไรป้าขายข้าวไป ตอนนั้นหยิบได้อะไรก็หยิบส่งๆให้ไปก่อน


          "เก็บไปเถอะ ผมเลี้ยงไง" ผมเอ่ยบอกปัดๆไป


          "ไม่... มื้อนี้ไม่นับ" เขายัดแบงค์ใส่มือผมก่อนจะเอ่ยถาม "นายโอเคใช่มั้ย?" ผมรีบหลุบตาลงต่ำทันทีที่เขาถามแบบนั้น เขาจะเห็นแผลผมมั้ยนะ หรือเลือดเปรอะที่แมสผมกันแน่เนี่ย... อุตส่าห์เปลี่ยนอันใหม่แล้วแท้ๆ



          "ผมไม่ได้เป็นอะไร ขอตัว" ผมทำท่าจะเดินเลี่ยงออกมา แต่เขาก็ไม่ยอมให้ผมทำได้ตามใจ


          "พี่เห็นหมดแล้วนะ..." ผมชะงักไปอีกครั้ง ใจเต้นรัวด้วยความตกใจ "ทั้งหมด" ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก... เขากำลังหมายความว่า... เขาเห็น!



          "..." ผมช้อนตาขึ้นมาสบตากับเขา... ในแววตานั้นมีหลากหลายความรู้สึก


          "พี่จะไม่บอกใครหรอกนะ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของพี่..." ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วเงยหน้ามองเขาตรงๆอย่างถามความต้องการ... แล้วเขาต้องการอะไรจากผม?


          "ต้องการอะไร?" ผมถามออกไปเมื่อเขาไม่พูดอะไรต่อ


          "แค่รู้สึกเป็นห่วงนายน่ะ" ผมชะงักไป แววตาวูบไหวเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน "บอกทีได้มั้ยว่านายไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายน่ะ"



          "ผมไม่จำเป็นต้องบอก"


          "แค่ตอบมา... แล้วพี่จะไม่ถามเรื่องนี้อีก" ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน พลางมองไปที่คนตรงหน้า... เขากำลังรอคำตอบจากผมอยู่อย่างใจจดใจจ่อ...



          ให้ตายสิ


          "อืม" ผมเอ่ยออกไปพร้อมๆกับถอนหายใจ... นั่นทำให้เขายิ้มออกมา แล้วใช้มือดันผมให้กลับไปนั่งที่ม้านั่งยาวตามเดิม ผมขืนไว้เล็กน้อยก่อนจะชะงักไปเพราะรู้สึกปวดที่ซี่โครงด้านซ้าย เลยยอมนั่งแต่โดยดี



          "ถอดแมสออกมาเถอะ" เขาเอ่ย



          "ไม่ใช่เรื่อง! ไหนบอกจะไม่ยุ่ง" ผมหันไปจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง ในขณะที่เขาถอนหายใจเบาๆ


          "ไม่ได้ยุ่งสักหน่อย" ผมจิ๊ปากด้วยความไม่พอใจ... เนี่ยแหละเค้าเรียกว่ายุ่ง!


          "แมสมันเปื้อนเลือด นายอยากให้คนอื่นมองนายรึไงเวลาเดินน่ะ" ผมจับเข้าที่แมสบนหน้าตัวเองก่อนจะรีบดึงมันออกมาดู


          "ไม่เห็นมี!" ผมมองหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง กล้าดียังไงมาหลอกกัน!... ผมเปลี่ยนแมสแล้ว แล้วก่อนเปลี่ยนก็เช็ดเลือดแล้วด้วย แต่แล้วมือหนาก็ยื่นผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดที่มุมปากผม... ผมผงะไปด้านหลังเล็กน้อย



          "อย่าดื้อ!" เขาเอ่ยเสียงดุๆ ก่อนจะเริ่มเช็ดเลือดที่อื่นๆบนหน้าผมอีก... ผมอยู่นิ่งๆให้เขาเช็ด ไม่รู้ทำไมรู้สึกกลัว... ไม่ใช่สิ เกรงใจดวงตาดุๆที่มองมาที่ผม


          เขาหันไปเปิดกระเป๋านักเรียนก่อนจะหยิบขวดน้ำออกมาแล้วเปิดฝาเทราดของเหลวใสๆลงไปบนผ้าเช็ดหน้าในมือ ก่อนจะเอามาเช็ดหน้าผมอีกครั้ง


          แสบ...


          แล้วผมก็ปล่อยให้เขาเช็ดอยู่อย่างนั้น... ผมรู้สึกได้ว่าลมหายใจอุ่นร้อนของผมรดมือเขาอยู่นานพอควรเลยทีเดียว แล้วเขาก็ยังไม่ลดมือนั่นออกจากบริเวณใบหน้าผมสักที กระทั่งผมได้ยินเสียงท้องร้องดังออกมาท่ามกลางความเงียบที่เกิดขึ้นมานาน


          ท้องผมร้อง... ผมเบะปากน้อยๆ มันจะไม่น่าอายเท่าไหร่ถ้าไม่ได้มีสายตาจากคนข้างๆพร้อมรอยยิ้มกวนๆส่งมาให้...



          "หิวก็กินซะสิ" เขาเอ่ยก่อนจะหยิบกล่องข้าวไปเปิดแล้วยื่นมาให้... ผมเบะปากน้อยๆ ก่อนจะรับมาไว้อย่างเสียไม่ได้เมื่อคนข้างๆพยายามจะเอาช้อนตักมาป้อนผม


          "กินเองได้" ผมเอ่ยก่อนจะตักข้าวเข้าปากโดยที่ไม่พูดอะไร คนข้างๆก็เอาแต่จ้องผมยิ้มๆอยู่นั่น ผมต้องหันไปค้อน ถลึงตาใส่อยู่หลายที... คนบ้าอะไรยิ้มอย่างกับแจกฟรี



          ผมจัดการข้าวกล่องในมือจนไม่เหลือข้าวสักเม็ด ปิดกล่องแล้วยัดมันใส่ถุงพลาสติกตามเดิม ก่อนจะหันไปเปิดกระเป๋าตัวเองแล้วหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่มแทนที่จะรับขวดน้ำจากคนข้างๆที่ยื่นมาให้



          "ผมจะกลับแล้ว" ผมเอ่ยกับคนข้างๆก่อนจะลุกขึ้น



          "พี่ไปส่ง" เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ผมจิ๊ปากเบาๆ "ก็พี่เป็นห่วง เกิดนายล้มลงไปกลางทางใครจะช่วย"


          "ผมไม่เป็นไร ขอบคุณ"


          "นี่ เดี๋ยวสิ" เขาวิ่งมาดักหน้าผมอีกครั้ง ผมกรอกตาไปมา... ชักเริ่มจะเอือมกับคุณหัวหน้าห้องนี่แล้วสิ จะอะไรกับผมนักหนา...



          "อยากตายหรอ มายุ่งกับผม" เขาชะงักไปเมื่อเห็นแววตาที่ผมส่งไปให้... อันที่จริงผมแค่ขู่ ถ้าเขาบอกว่าเขาเห็นทั้งหมด นั่นแปลว่าเขาก็ต้องเห็นถึงความอันตรายได้ไม่มากก็น้อย... ทั้งตัวผมเองที่อันตราย และพวกชุดดำนั่นก็ยิ่งอันตราย


          ที่สำคัญ... เขาต้องเห็นปืน นั่นเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่า 'นี่มันอันตราย'



          "โหดจัง" เขาเอ่ยเสียงอ่อย "ถึงบ้านแล้วโทรมาได้ป้ะ?" ผมเลิกคิ้วขึ้นแทบจะทันที... บ้าไปแล้วแน่ๆ คนๆนี้


          "ไม่จำเป็น"



          "จำเป็นสิ ก็บอกแล้วไงว่าเป็นห่วง" ผมส่ายหน้าน้อยๆ "เอาโทรศัพท์นายมา หรือไม่ก็เอาเบอร์ฉันไป... เลือกมา!" เขาเอ่ยเสียงดุอีกครั้ง... ไอ้บ้า!


          ผมกรอกตาไปมาอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอย่างเสียไม่ได้... แล้วก็ต้องแบมือยื่นไปหาเขา... แล้วเขาก็หยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองมาวางแหมะลงบนที่มือผม... ผมกดยุกยิกๆลงไปในโทรศัพท์ก่อนจะส่งคืนแล้วเบี่ยงตัวหลบจะเดินไป



          มือหนาคว้าข้อมือผมไว้ก่อนที่ผมจะรู้สึกถึงแรงสั่นที่โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของตัวเอง... ให้ตายสิ ผมล้วงมือลงไปหยิบโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ขึ้นมาโชว์หน้าจอให้เขาดู... แล้วทำหน้ากวนๆถามเขาว่า... 'พอใจยัง?'


          เขายิ้มออกมาก่อนจะกดวางแล้วยัดมือถือเข้ากระเป๋ากางเกงตัวเองไป... ให้ตายเหอะ


          "ผมไปได้ยัง?" ผมบิดข้อมือให้หลุดออกจากการถูกกุม แล้วออกเดิน


          "ถึงบ้านแล้วอย่าลืมโทรมานะแบมแบม" ดวงตาเบิกโพลงทันทีที่ได้ยินแบบนั้นจากคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง แล้วผมก็หันกลับไปมองเขาอย่างเอาเรื่อง...


          นี่เขาชักจะรู้เรื่องผมมากเกินไปแล้วนะ!



          "ห้ามเรียกผมด้วยชื่อนั้น!"



          "ไม่เอา...จะเรียก"



          "อยากตายจริงๆใช่มั้ย!?" มาร์คหัวเราะน้อยๆเมื่อเห็นท่าทางของผม...


          หน้าผมดูเหมือนคนที่กำลังพูดเล่นอยู่หรือไง?


          "หรืออยากให้ผมตาย..." ผมเอ่ยเสียงเบาหวิว "ถ้าอยากให้เป็นแบบนั้นก็เรียกเถอะ" ผมถอนหายใจ เขานิ่งไป


          "โอเค... ไม่เรียกก็ได้... พี่ไม่ได้อยากให้นายตายสักหน่อย" ผมสบตาเขาแวบหนึ่ง “แล้วจะให้เรียกนายว่าอะไรล่ะ?”


          “กันต์พิมุกต์” แบมแบมเอ่ยด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย


          "ไม่เอามันยาวไป...”


          วันนี้ก็เรียกมาตั้งหลายครั้งแล้ว ยังเรียกได้เลย... แล้วตอนนี้มาบ่นว่าชื่อยาว อะไรของเค้าวะ!  



          “ฉันจะเรียกนายอย่างอื่นแทน" ผมหรี่ตามองคนตรงหน้า... รู้สึกว่าคนๆนี้ต้องทำอะไรที่ผมไม่ชอบอีกแน่ๆ


          "ว่าอะไร?... จะเรียกผมว่าอะไร?" มาร์คอมยิ้มแต่ไม่ตอบอะไรกลับมา นั่นทำเอาผมฉุนขาด “นี่คุณหัวหน้าห้อง!”


          "นี่... ทำไมเรียกพี่แบบนั้นล่ะ?” ผมไม่ตอบแต่หันหน้าหนีไปอีกทาง “พี่จะไม่เรียกนายว่าแบมแบม... แต่นายต้องเรียกพี่ว่า...พี่มาร์ค” ผมส่ายหน้าทันที



            "ห้ามปฎิเสธ! ตั้งแต่คุยกันมาเนี่ย นายไม่เคยเรียกชื่อพี่เลยสักครั้ง" ผมไม่ปฎิเสธหรอกว่าผมไม่เคยเรียกชื่อเขา... ไม่แม้แต่คำว่าพี่ด้วยซ้ำ... แม้มันจะดูเสียมารยาท แต่ผมก็ไม่ได้อยากเอาตัวเองไปทำเหมือนกับว่าสนิทกับใครๆ นอกจากคนที่ผมสนิทด้วยจริงๆ


          “......” ผมไม่ตอบอะไรเขา


          "นะ..." แล้วเขาก็เปลี่ยนจากน้ำเสียงดุๆเป็นอ้อนวอน...ผมชะงักไปเล็กน้อย เพราะปรับอารมณ์ตามคนๆนี้ไม่ทัน... เฮ้อ.. ผู้ชายคนนี้เป็นคนยังไงกันแน่นะ?


          "จะพยายามแล้วกัน" ผมบอกปัดๆก่อนจะหันหลังเดินไปทางที่ตั้งใจจะไปแต่แรก... ให้ตายสิ แค่อาจารย์ยุนอาไม่อยู่วันนี้วันแรก เรื่องมันเยอะขนาดนี้เลยหรอ!


          เหนื่อยชะมัด... 




#ฟิคสั้นมาร์คแบม




Black Riddle 2


ก่อนที่จะรู้จักคนอื่น... ควรที่จะรู้จักตัวเองให้ดีเสียก่อน




          ขายาวก้าวมายังหน้าห้องพักครูก่อนจะล้วงกุญแจล็อคเกอร์ที่อาจารย์ให้ไว้ก่อนไปขึ้นมาไข... จัดแจงวางกระดาษคำตอบลงไปในล็อคเกอร์ก่อนจะปิดมันไว้ดังเดิม...


          “เดี๋ยวก่อน...” ผมชะงักมือข้างที่เสียบลูกกุญแจอยู่ที่ล็อคเกอร์ “นี่อีกแผ่นนึง” ว่าพลางหอบหายใจถี่ๆอยู่ด้านหลังผม... ไม่ต้องหันกลับไปมองผมก็รู้ว่าใคร... คุณหัวหน้าห้องม.5/1


          “ผมบอกแล้วว่าไม่รับ” ผมบิดลูกกุญแจล็อคทันทีที่พูดจบก่อนจะชักออกแล้วหมุนตัวหันมาเผชิญหน้ากับมาร์คตรงๆ เขาหน้าเสียไปหลังจากที่เห็นผมทำแบบนั้น


          “พี่ขอได้มั้ย... ไม่อยากให้มีเรื่องกันเลย” ผมหันหน้าไปอีกทาง... ผมไม่ได้เป็นคนเริ่มนี่... เมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบอะไร เขาก็เงียบไป... กระทั่งหางตาผมเหลือบไปเห็นว่าเขากำลังถืออะไรบางอย่างในมือ ก่อนจะยื่นมันมาที่หน้าผม ผมเอี้ยวหน้าหลบตามสัญชาติญาณก่อนจะจับข้อมือเขาไว้อย่างรวดเร็ว


          “จะทำอะไร?!” ผมถามเสียงแข็ง จ้องเขาอย่างกำลังจับผิด


          “พี่แค่จะเช็ดให้...” เขาตอบแล้วขยับมือที่ถูกผมจับข้อมืออยู่เล็กน้อย ผมจึงเห็นว่าในมือเขาถืออะไร...


          ผ้าเช็ดหน้า


          “เลือดออกน่ะ” เขาพยักเพยิดมาที่ใบหน้าผมอีกครั้ง มือก็ยื้อจะมาเช็ดหน้าผมให้ได้


          “ไม่ต้อง” ผมปล่อยมือเขาแล้วยื่นมือไปหยิบกระดาษในมือเขามา ก่อนจะหันหลังไขกุญแจล็อคเกอร์อีกหน... จะได้จบเรื่องสักที อะไรกันนักหนา...


          “พอใจแล้วนะครับ” หลังจากล็อคกุญแจเสร็จผมก็เอ่ยออกมาโดยที่ไม่ได้หันหลังกลับไปมอง ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรผมก็ผละออกมาจากตรงนั้นทันที


          “ขอบใจนะ” เขาเอ่ยเบาๆราวกับเสียงกระซิบเมื่อผมเดินผ่านเขาออกมา... โฮมรูมจะมีทำไมเช้าเย็นวะ เช้าอย่างเดียวก็ประสาทจะแดก นี่ผมต้องเจอกับอะไรแบบนี้ไปสองอาทิตย์เต็มๆเลยใช่มั้ยเนี่ย?




*

*

*



          เสียงออดดังบอกเวลาพักกลางวัน ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเซ็งแซ่ของนักเรียนที่เริ่มหนาหูขึ้นเมื่ออาจารย์เดินออกจากห้องไป... บางคนก็เก็บของเตรียมจะลงไปกินข้าว บางคนก็ยังคงนั่งคุยกันเกี่่ยวกับเมนูอาหารที่อยากจะกิน... ผ่านไปไม่นานห้องทั้งห้องก็เข้าสู่สภาวะปกติ... เงียบสักที


          ภายในห้องเรียนกว้างใหญ่เช่นนี้ ตอนนี้เหลือเพียงแค่ผมที่ยังคงนั่งอยู่กับที่ เฉกเช่นทุกวัน... ผมไม่ได้ลงไปกินข้าวเหมือนคนอื่นๆ เหตุผลมันไม่ได้เดาอะไรได้ยากเลย...


          ผมไม่ชอบคนเยอะ... เสียงดัง... และผมก็ไม่ได้อยากจะให้ใครเห็นแผลบนหน้า...เวลาที่ผมต้องถอดแมสออกมาแล้วตักข้าวเข้าปาก


          ผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋านักเรียนแล้วหยิบแซนวิชที่ทำเองมาด้วยเมื่อเช้าก่อนออกมาจากที่พัก และตามด้วยน้ำเปล่าหนึ่งขวด ก่อนจะมองไปรอบๆห้องอีกครั้งด้วยความระมัดระวัง... เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แล้วจริงๆ


          ผมจึงยกมือขึ้นเกี่ยวเอาสายแมสที่คล้องหูผมอยู่ออก... เฮ้อ... ค่อยหายใจได้สะดวกหน่อย บางทีผมก็เบื่อกับการที่ต้องใช้หน้ากากอนามัยนะ... มันอึดอัด


          ก่อนจะแกะแซนวิชที่อยู่ในถุงพลาสติกใสออกมาแล้วส่งมันเข้าปาก


          เวลานี้ทุกคนคงจะกินข้าวกันอยู่แบบที่ผมทำนี่แหละ อีกสักครึ่งชั่วโมงก็คงจะทยอยกันขึ้นมาบนห้อง ซึ่งผมก็คงจะจัดการแซนวิชนี่จนหมดไปได้พักใหญ่แล้ว...


          เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้องทำเอาผมตกใจจนเกือบสำลักน้ำ.. ผมจะรีบหันหน้าไปอีกทางเพื่อไม่ให้คนที่เพิ่งเข้ามามองเห็นแผลบนใบหน้าข้างซ้าย... ผมไม่ได้มองว่าใครเข้ามา ก็คงจะเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่งในห้องที่บังเอิญวันนี้กินข้าวเร็ว... ดีนะที่ผมจัดการแซนวิชหมดไปแล้วน่ะ... ผมปาดปากเบาๆก่อนจะหยิบแมสบนโต๊ะมาถือไว้ และก่อนที่จะได้เกี่ยวแมสไว้ที่หูอีกครั้ง คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ก็มาหยุดอยู่ที่โต๊ะด้านขวาของผมเสียแล้ว... ผมชะงักไปเล็กน้อยเมื่อหางตาผมเหลือบไปเห็นว่าเขากำลังลากเก้าอี้จากโต๊ะตัวหน้า แล้วหมุนเก้าอี้หันมานั่งลงที่ด้านหน้าผม... ผมไม่ได้หันมองเขาตรงๆ แต่เอาแมสในมือขึ้นมาใส่ด้วยความรวดเร็ว ขยับแมสนิดหน่อยให้มั่นใจว่าทุกอย่างโอเคแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่...


          คุณหัวหน้าห้องม.5


          ผมหยิบขวดน้ำของตัวเองใส่ลงในกระเป๋านักเรียน ก่อนจะมองหน้าเขาที่ตอนนี้ก็กำลังมองหน้าผมอยู่...


          เขายื่นกล่องน้ำผลไม้มาให้ผม ก่อนจะตามด้วยขนมปัง และพลาสเตอร์ยาอีกหนึ่งแพ็ค


          ผมมองของตรงหน้าก่อนจะขมวดคิ้ว...


          "พี่ไม่เห็นเราลงไปกินข้าวที่โรงอาหารเลย... คิดว่าอาจจะอยู่บนห้อง พอมาแล้วก็เจอจริงๆ ก็เลยซื้อมาฝาก" เขาบอกผมเมื่อเห็นว่าผมยังคงเงียบ "แต่เมื่อกี้แอบเห็นว่ากินแซนวิชไปแล้วอันนึง" ผมหลุบตาลงต่ำทันทีที่เขาพูดจบ... เขาเห็นผมกินแซนวิช นั่นแปลว่าเขาเห็นผมมาสักพักแล้ว... เขาจะเห็นแผลที่หน้าผมมั้ยนะ? ผมขยับแมสขึ้นมาอีกเพราะเริ่มไม่มั่นใจ


          "แผลที่หน้า..."


          "ผมอิ่มแล้วขอบคุณ" ผมรีบสวนออกไปทันที่ที่เขาเอ่ย... เห็นสินะ


          "พี่ซื้อมาแล้ว รับไว้เถอะ..." เขาเลื่อนพลาสเตอร์ยามาทางผม "เอานี่ไปแปะซะนะ แผลจะได้ไม่ติดเชื้อ" ผมเหลือบไปมองหน้าเขา


          "ที่โดนกระดาษบาดน่ะ ยังเจ็บอยู่มั้ย?" ผมลอบถอนหายใจทันทีที่เขาพูดจบ แปลว่าแผลที่เขาหมายถึงก็คือแผลที่โดนกระดาษบาดเมื่อเช้าสินะ... ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างรู้สึกโล่งอก...


          "ขอโทษแทนเพื่อนคนเมื่อเช้าด้วย... มันชอบหาเรื่องแบบนี้แหละ แต่พี่จัดการมันไปล้ะ เรียบร้อย!" เขาเอ่ยยิ้มๆ ผมจึงพยักหน้าเบาๆ


          ผมไม่ชอบรับของจากคนอื่นฟรีๆ... แต่คราวนี้ถ้าไม่รับก็คงจะไม่จบง่ายๆ เพราะเขาคงจะตื้อให้ผมรับอีกเป็นแน่


          "ขอบคุณ...คราวหน้าผมจะซื้อใช้ให้" ผมรับเอาทั้งน้ำผลไม้ ขนมปัง และพลาสเตอร์ยามาไว้ใกล้ตัวมากขึ้น... ที่ผมบอกจะซื้อใช้ให้ก็เพราะไม่อยากติดหนี้ใคร ผมไม่ชอบอะไรที่มันไม่แฟร์


          "เปลี่ยนจากซื้อใช้มาเป็นเลี้ยงข้าวหน่อยสิ" ผมเลิกคิ้วขึ้น "นะ... สักมื้อ เย็นนี้เลย"


          "ผมไม่ว่าง" ผมบอกปัดออกไป ...เพราะไม่เคยกินข้าวกับคนที่เพิ่งรู้จัก และตอนนี้ผมก็ไม่สะดวกด้วย...


          "งั้นเย็นพรุ่งนี้... มะรืนก็ได้" เขายังคะยั้นคะยอไม่เลิก ผมได้แต่กรอกตาไปมา... ให้ตายสิ


          ผมถอนหายใจอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเขายังคงทำตาปริบๆมาทางผม


          "มื้อเดียวนะ" ในที่สุดผมก็ต้องรับปากสินะ "วันนี้เย็นหน้าโรงเรียน" ผมเอ่ยบอกเขาที่ตอนนี้ยิ้มกว้างจนปากจะฉีกอยู่ล้ะ


          "โอเค!" ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ เสียงกลุ่มนักเรียนก็ดังเอ็ดตะโลมาจากหน้าห้อง... พวกนักเรียนเริ่มกลับมาที่ห้องกันแล้วสินะ


          "งั้นพี่ไปก่อนนะ... เจอกันตอนเย็นนะกันต์พิมุกต์" ผมพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่เขาจะก้าวออกจากห้องสวนกับนักเรียนที่เดินเข้ามา... พวกนั้นมองเขากับผมสลับกันไปมาก่อนจะเริ่มหันไปซุบซิบกันตามประสานักเรียนขี้เม้าท์... ไม่นินทาใครสักวันจะตายมั้ย? เฮ้อ...


          ตอนเย็นผมเข้าไปทำหน้าที่โฮมรูมพร้อมกระเป๋านักเรียนที่ห้องม.5อีกครั้งในคาบก่อนเลิกเรียน... ที่เอากระเป๋ามาด้วยเพราะนี่มันคาบสุดท้ายแล้วผมขี้เกียจเดินกลับไปที่ห้องอีก...


          วันนี้อาจารย์ไม่ได้สั่งงานไว้สำหรับโฮมรูมตอนเย็น...เธอเขียนบอกเอาไว้แค่ว่าให้นักเรียนเอางานค้างขึ้นมาทำ...


          เท่ากับว่าคาบนี้ก็ไม่ได้มีอะไรมากมายเลย ผมแค่ต้องไปคุมให้นักเรียนทบทวนบทเรียนที่เรียนไปวันนี้ หรือไม่ก็ให้เอางานค้างของตัวเองขึ้นมาทำก็เท่านั้น... พอเข้าห้องไป ผมเหลือบไปมองคู่กรณีเมื่อเช้าหน่อยๆ ก็เห็นว่าเขาดูสงบเสงี่ยมขึ้นกว่าตอนเช้า... ตอนนี้ทุกคนในห้องก็ทำงานของตัวเองไป เมื่อไหร่ที่เริ่มเสียงดัง คุณหัวหน้าห้องก็จะตะโกนสั่งให้เสียงเบาๆ... แล้วทุกคนก็เบาเสียงลงจริงๆ... ดูๆไปก็มีอำนาจใช่เล่นนะ


          ผมนั่งที่โต๊ะตัวเดิมกับที่เมื่อเช้าคนข้างๆบอกให้นั่ง แต่ผมไม่ได้นั่งเฉยๆหรอก มันน่าเบื่อเกินไป ผมหยิบเอาหนังสืออ่านเล่นที่ผมซื้อมาเมื่ออาทิตย์ก่อนขึ้นมาอ่าน... ไม่ค่อยได้มีเวลาอ่านเสียที หน้าที่ถูกคั่นเอาไว้ก็ยังอ่านไปไม่ถึงครึ่งเล่ม


          "เก่งนะเนี่ย อ่านหนังสือภาษาอังกฤษด้วย" เสียงจากคนข้างๆไม่ได้ทำให้ผมหันไปมอง สายตายังคงจดจ้องอยู่กับตัวหนังสือตรงหน้า... ไม่เห็นแปลก ถ้าหนังสืออ่านเล่นของผมจะเป็นภาษาอังกฤษ


          ขณะที่สายตาผมกำลังจดจ้องกับบรรทัดที่สองของหน้าหนังสือ ผมก็ต้องละสายตามายังกระดาษแผ่นเล็กๆที่ถูกวางลงทับบรรทัดที่ผมกำลังอ่านอยู่พร้อมกับข้อความบนกระดาษ...


          'วันนี้กินอะไรดี'


          ผมเหล่ไปมองคนข้างๆผู้ที่เป็นเจ้าของกระดาษ


          "ข้าว" ผมตอบสั้นๆพลางหยิบกระดาษออกจากหนังสือแล้ววางไว้ที่โต๊ะ


          'กินยารึยังวันนี้?' ไม่นานนักกระดาษแผ่นที่สองก็ถูกส่งมาบังบรรทัดที่ผมอ่านอีกครั้ง


          ผมขมวดคิ้วก่อนจะจิ๊ปากเบาๆ... อะไรนักเนี่ยคนข้างๆ งานค้างไม่มีทำแล้วหรือไง?


          ผมปิดหนังสือลงทับกระดาษแผ่นนั้นไปด้วย ก่อนจะวางมันลงไปบนโต๊ะ แล้วหันไปมองหน้าเขาตรงๆ... สงสัยคงจะไม่ได้อ่านแล้วล่ะมั้ง... นับถือเลยจริงๆกับความพยายามในการรบกวนสมาธิผมเนี่ย


          "ไม่มีงานทำหรอครับ?" ผมเอ่ยถาม เขายักไหล่ให้แทนคำตอบ... ไม่มีสินะ


          "กันต์พิมุกต์ แปลว่าอะไรหรอ?" เขาถามผมอีกครั้งหลังจากเงียบไป และผมก็ไม่ได้ตอบเขาอีกเช่นกัน "แค่อยากคุยด้วยเฉยๆ" เขาเอ่ยเบาๆพลางทำหน้าหงอยๆ...  นั่นทำเอาผมรู้สึกผิดขึ้นมาหน่อยๆ


          "เก็บของเถอะครับ จะหมดเวลาแล้ว" ผมเอ่ยเบาๆ ก่อนจะหยิบเอาหนังสือใส่กระเป๋า และส่งกระดาษแผ่นแรกที่เขียนว่า ‘วันนี้กินอะไรดี’ ไปทางเขา... เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย ขณะที่ผมคลายความสงสัยให้เขาในประโยคถัดมา


          "อยากกินอะไรล่ะครับ?" และนั่นทำให้เขายิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้


          ผมเดินก้มหน้าตามความเคยชินออกมาหน้าโรงเรียน พร้อมๆกับคุณหัวหน้าห้องม.5ที่เดินอยู่ไม่ไกลจากกันเท่าไหร่... ปกติผมว่าคนก็มองผมเยอะพอควรนะ ยิ่งมาเดินกับคนอื่นแบบนี้ คนยิ่งมองผมกันใหญ่ ผมเลยต้องเดินให้เร็วขึ้นกว่าเดิม... เบื่อที่จะฟังอะไรๆที่ออกมาจากปากคนพวกนั้น... น่ารำคาญ


          ไม่นานผมก็เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่ไกลนักจากโรงเรียน


          'กินข้าว' เขาบอกผมอย่างนั้น ผมก็เลยมานี่ไง


          ผมก้าวเข้ามานั่งที่โต๊ะฝั่งติดกำแพงภายในร้าน ก่อนที่คนที่มาด้วยกันจะนั่งลงตามมาทางด้านตรงข้ามกัน... ผมยื่นเมนูให้เขา... ร้านนี้ผมเคยมาแล้วครั้งนึงตอนเข้าเรียนที่นี่แรกๆ แล้วก็ไม่ได้มาอีกเลยกระทั่งวันนี้


          "นายสั่งก่อนเลย" เขายื่นเมนูกลับมาให้ผม พร้อมๆกับที่ป้าเจ้าของร้านเดินเอาแก้วน้ำมาให้สองแก้ว


          "แก้วเดียวพอครับ" ผมเอ่ย


          "ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ" ป้าว่าดังนั้นผมเลยก้มหัวขอบคุณ "กินอะไรดีจ้ะ?"


          "นายไม่กินหรอ? กันต์พิมุกต์..." เขาเอ่ยถามผม... ผมส่ายหน้าให้ เขาก็หันไปบอกป้าเจ้าของร้านเมื่อเห็นว่าป้ารอรับรายการอาหารอยู่... "งั้นผมเอาข้าวผัดกิมจิครับ" ป้าพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินไปทำอาหาร


          "ทำไมไม่กินล่ะ?"


          "ผมไม่หิว" ผมไม่ได้ตั้งใจจะกินด้วยตั้งแต่แรกแล้ว แค่รอจ่ายตังจะได้จบเรื่องสักที


          "อย่างนี้ก็แย่สิ" เขาเอ่ยทำเอาผมต้องขมวดคิ้ว... แย่อะไรวะ "ให้พี่นั่งกินคนเดียวมันไม่ดีเลยนะ"


          ผมกรอกตาไปมา... ยังไงผมก็ตัดสินใจไปแล้วว่าจะไม่ยอมถอดแมสออกมาแล้วนั่งกินข้าวกับคนที่เพิ่งรู้จักวันนี้แน่ๆ


          "ผมไม่หิวจริ..." ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี สายตาผมก็ดันเหลือบไปเห็นกลุ่มคนท่าทางแปลกๆทางด้านหลังของมาร์คยืนคุยกันอยู่นอกร้าน


          'พวกนั้น'


          ผมลอบมองกลุ่มคนพวกนั้นอย่างระมัดระวัง จนลืมมองไปว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ก็กำลังนั่งมองหน้าผมอยู่เช่นกัน


          เสียงสั่นเตือนที่มือถือทำให้ผมรู้ว่ามีข้อความเข้า ผมล้วงมือลงไปหยิบโทรศัพท์ออกมาก่อนจะละสายตาจากพวกนั้นไปยังหน้าจอแทน


          'แบมแบม พวกนั้นอยู่แถวโรงเรียนนาย ฉันกำลังไป'


          ผมกดตอบข้อความอย่างไม่ลังเล


          'ฉันเห็นแล้วยูค จะรีบไป'


          พลันสายตาผมก็หันมาสบกับคนตรงหน้าที่เงียบมาสักพักแล้ว...


          "ผมมีธุระด่วน... ผมจ่ายเงินค่าข้าวให้เลยนะ" แล้วผมก็รีบผละออกไปจากโต๊ะพร้อมกับหยิบแบงค์ในกระเป๋าตังวางไว้ให้ป้า "ค่าข้าวครับ" ผมเอ่ยก่อนจะรีบเดินออกจากร้านไปโดยเร็ว


          มาร์คที่จะลุกเดินตามไปก็ต้องชะงักเมื่อป้ายกจานข้าวมาให้เขาเสียแล้ว... รีบไปไหนของเค้านะ


          "นี่เงินทอนจ้ะ" ป้าเอ่ยก่อนจะส่งเงินให้มาร์ค... ว่าแต่...ทำไมทอนเงินเยอะจัง? พอนับๆดูก็ต้องตกใจ... ให้ตายนี่เด็กนั่นเอาแบงค์หมื่นจ่ายค่าข้าวจานเดียวเนี่ยนะ... ไปรวยมาจากไหน


          "ป้าครับผมขอโทษทีนะแต่ช่วยห่อข้าวใส่กล่องให้ผมทีนะครับ" ผมบอกป้าอย่างเกรงใจ แต่ป้าก็ไม่ได้ว่าอะไรเอาข้าวใส่กล่องให้ผมตามที่ผมขอ


          ผมเดินออกจากร้านมองซ้ายขวาเผื่อจะเห็นคนที่เพิ่งรีบร้อนออกจากร้านไป แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา...


          มาร์คเดินออกไปตามทางเพื่อที่จะเดินกลับบ้านของตัวเอง ในใจก็นึกถึงดวงตากลมโตนั่น... ครั้งสุดท้ายที่เขาเห็น ดูเหมือนเจ้าของดวงตาคู่สวยจะมีความกังวลอะไรบางอย่าง... ก่อนที่จะเปลี่ยนมันเป็นความเรียบเฉยเมื่อรู้ตัวว่าถูกจ้องมองอยู่


          เด็กคนนี้ดูลึกลับ... น่าค้นหา



#ฟิคสั้นมาร์คแบม