เมื่อถึงเวลา... ทุกอย่างจะดำเนินไปในทิศทางที่มันควรจะเป็น
ระหว่างที่กำลังเดินใจลอยคิดถึงเด็กคนนั้น... สายตาผมก็เหลือบไปเห็นร่างคุ้นตาในชุดนักเรียนโรงเรียนเดียวกัน... เด็กคนนั้นจริงๆด้วย แมสขนาดใหญ่นั่นเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี
ร่างบางตรงหน้านั่งเอาหลังแนบไปกับต้นไม้ใหญ่ที่มีพุ่มไม้ไม่สูงมากอยู่ข้างๆ ก่อนที่จะหยิบเสื้อคลุมสีน้ำตาลเข้มออกมาสวมทับเสื้อนักเรียน... ไม่นานหลังจากนั้น เด็กนั่นก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดยิกๆ เหมือนกำลังพิมพ์ข้อความ ด้วยใบหน้าเครียดๆ คิ้วทั้งสองข้างขมวดเป็นปม ผมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆด้วยเสียงเบา ก่อนจะแอบอยู่หลังตู้โทรศัพท์เยื้องๆกับต้นไม้ที่เด็กนั่นนั่งอยู่... โชคดีที่ตู้โทรศัพท์ค่อนข้างมีหญ้าขึ้นสูงและรกพอสมควร ทำให้ผมแอบได้อย่างมิดชิด ผมยังไม่ละสายตาไปจากร่างบางที่เลิกกดยิกๆในโทรศัพท์แล้วเปลี่ยนเป็นยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูแทน
“ฉันรอไม่ไหวแล้วนะยูค นายอยู่ไหน?”
ร่างบางเอ่ยกับปลายสาย คิ้วได้รูปยังคงขมวดเป็นปม ผมได้ยินที่เด็กนั่นพูดเพราะอยู่ไม่ห่างเท่าไหร่
(นายอย่าเพิ่งทำอะไรบ้าๆนะ ฉันกำลังจะถึง ไม่เกิน5นาที)
“นานเกินไป พวกมันกำลังจะหนี”
(พวกมันมีปืนนะแบม นายใจเย็นก่อน)
“ฉันรู้ว่ามันมีปืน แต่ฉันรอนานไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว โทษทีนะ”
(แบม!)
เขากดตัดสายทันทีก่อนที่จะพุ่งออกไปทางด้านหลังต้นไม้ใหญ่เมื่อครู่
ถ้าเมื่อกี้ผมฟังไม่ผิด เขากำลังพูดถึงปืน...
ปืน... เด็กนี่กำลังพูดถึงปืน
แม้จะยังอึ้งกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน... แต่ผมก็ไม่รอช้ารีบตามเด็กนั่นไปทันที... และผมก็ตามมาทันจนได้... แต่ภาพที่ผมเห็นทำเอาผมต้องช็อคไป... ไม่อยากจะเชื่อตาตัวเอง
เด็กคนนั้นกำลังต่อสู้กับผู้ชาย2คน โดยมีผู้ชายอีกคนกำลังเดินออกไปพร้อมกับยกมือแนบหูฟังที่อยู่ที่หู... นี่มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย
เด็กนั่นเตะต่อยได้อย่างคล่องแคล่วก็จริง... แต่ด้วยความที่เขามีแค่คนเดียวเลยมีช่องว่างให้อีกฝ่ายมากขึ้น เขาเสียหลักหลายครั้งเพราะโดนเตะแต่ก็ยังยืนขึ้นและสวนหมัดออกไปได้อย่างหวุดหวิด เขาเหวี่ยงหมัดเสยใต้คางของผู้ชายคนหนึ่งก่อนที่เขาเองจะโดนชายอีกคนเตะเข้าที่ด้านหลัง ตอนนี้ชายที่โดนหมัดเสยคางล้มลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้นอย่างหมดท่า และเด็กนั่นก็เสียหลักล้มลงไปนั่งที่พื้น ก่อนที่มือหนาของอีกฝ่ายจะกระชากคอเสื้อของเขาไว้แล้วต่อยเข้าที่ใบหน้าหลายหมัด... ใบหน้าหวานมีเลือดซึมออกมาเปื้อนแมสที่ใส่อยู่ ก่อนที่ชายคนเดิมจะผลักร่างบางลงไปนอนกับพื้น ร่างบางพยายามดันตัวเองขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายชักปืนออกมาจากเสื้อตัวเอง
“ตายเถอะมึง” เสียงทุ้มคำรามก่อนจะเหนี่ยวไก
ปัง!!
ผมยกมือขึ้นปิดปาก... ปะ ปืนจริง!
ภาพตรงหน้าผมตอนนี้คือชายที่เหนี่ยวไกปืนเมื่อครู่ล้มลงไปนอนกองกับพื้น ก่อนจะมีร่างสูงใหญ่ของอีกคนวิ่งถือปืนเข้ามาเตะปืนในมือผู้ชายคนนั้นออกไป และเข้าไปพยุงร่างบางที่นอนอยู่ที่พื้นขึ้นมา
“ตามไป! มันหนีไปได้คนนึง ทางโน้น” ร่างบางพูดกับชายผู้มาใหม่ “ไปเร็วยูค!!” ร่างสูงขมวดคิ้วหนาก่อนจะตัดสินใจวิ่งไปตามที่ร่างบางบอก ร่างบางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มือข้างหนึ่งดึงหน้ากากอนามัยออกก่อนจะยัดมันลงกระเป๋ากางเกง แล้วใช้มืออีกข้างปาดเลือดที่มุมปาก
เขาเดินไปหยิบปืนที่ตกอยู่ แล้วเดินไปเปิดเสื้อคลุมของคนที่เพิ่งโดนเขาเสยคางไป ก่อนจะหยิบปืนออกมาจากในเสื้ออีกกระบอก
ร่างหนาที่โดนยิงล้มลงไป ตะเกียกตะกายยันตัวเองลุกขึ้น ร่างบางใช้ปืนในมือตบเข้าไปที่ใบหน้านั่นอย่างแรงจนหน้าหันแล้วนอนแน่นิ่งไปกับพื้น
“นอนรอพ่อมึงตรงนี้นะ อย่าไปไหน”
สิ้นเสียงร่างบาง เสียงไซเรนรถตำรวจก็ดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินข้ามชายคนนั้นออกมา แล้วปล่อยปืนในมือทั้งสองกระบอกไว้ที่พื้นซึ่งห่างจากร่างทั้งสองที่นอนแน่นิ่งอยู่ไกลพอสมควร
เขากำลังเดินตรงมาทางผม ซึ่งผมก็กระโดดหลบไปหลังพุ่มไม้ใกล้ๆกันก่อนที่เด็กนั่นจะทันได้เห็น ร่างบางหันไปมองทางเดิมที่เดินออกมาก็พบว่ามีตำรวจหลายนายกำลังรุดเข้ามาจากอีกทาง เขาจึงหันหลังกลับแล้วเดินต่อ ผ่านจุดที่ผมยืนอยู่ไปโดยที่ไม่ทันสังเกต... เขาเดินไปหยิบกระเป๋านักเรียนที่วางไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ในตอนแรก ก่อนจะหยิบเอากระดาษทิชชู่ในกระเป๋าขึ้นมาปาดเลือดบนใบหน้าอย่างลวกๆ แล้วหยิบแมสอันใหม่ขึ้นมาสวมไว้ก่อนจะออกเดินอีกครั้ง
เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก... เร็วจนผมจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกเลยสักอย่าง... นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน! เด็กคนนั้น... เป็นใครกันแน่ วิชาการต่อสู้แบบนั้นไม่ใช่การชกต่อยกันแบบเด็กวัยรุ่นธรรมดาทั่วๆไปแน่ๆ... มันดูมีชั้นเชิง... แล้วพวกนั้นก็เก่งใช่ย่อยเลย แต่แด็กนี่ก็สู้พวกนั้นได้อย่างน่าประหลาด ทั้งๆที่ตัวเองยังอยู่ม.ปลายแท้ๆ... ถือเป็นการประมือกันอย่างสูสี... และปืนนั่นอีก... จะให้คิดยังไงได้... ของอันตรายแบบนั้นจะมาถือกันเกลื่อนแบบนี้ได้ยังไง...
ผมแอบสะกดรอยตามเด็กนั่นมาตามทางเรื่อยๆ แม้จะยังไม่เข้าใจอะไร... แต่เด็กนี่ก็บาดเจ็บอยู่ไม่น้อยเลย ตัวแค่นี้ทนรับแรงเตะต่อยจากชายฉกรรจ์แบบนั้นไหวได้ยังไงนะ...
ผมเดินตามเด็กนั่นไปเรื่อยๆ กระทั่งร่างบางเดินเลี้ยวไปทางหัวมุมข้างหน้า ผมเดินตามไปแอบมองอยู่หลังมุมตึกก็เห็นว่าเขาชะงักไปแล้วเอามือกุมที่ท้องด้านซ้ายของตนเองก่อนจะเซไปเล็กน้อย ผมจะเข้าไปช่วยทันทีที่เห็นภาพ... แต่เขาก็พยายามพยุงตัวเองให้เดินไปนั่งที่ม้านั่งยาวที่อยู่ข้างหน้าไม่ไกลจากกันมากนัก ร่างบางถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นพลางหลับตาราวกับกำลังซึมซับความเจ็บปวด ก่อนจะสูดหายใจเข้าออกยาวๆอีกหลายครั้ง คิ้วที่ขมวดเข้าหากันเป็นปมนั่นทำให้ผมนึกเป็นห่วง... คงจะเจ็บมากสินะ ผมเดาว่าเขาคงจุก เพราะเท่าที่เห็นการต่อสู้ของเด็กนั่น ถึงแม้จะไม่ได้เห็นตั้งแต่แรกเริ่มเลยก็เถอะ แต่เด็กคนนั้นก็โดนเตะไปหลายทีอยู่เหมือนกัน
มือบางข้างหนึ่งยังคงกุมที่ท้องของตนเอง ส่วนอีกข้างล้วงเข้าไปหยิบเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงที่สั่นเตือนอยู่ มองที่หน้าจอแล้วกระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะกดรับ
"ไงยูค ทันรึเปล่า?" ร่างบางพยายามทำเสียงให้ดูร่าเริงสุดๆ
(มันก็ทันอยู่ แต่มันส่งของไปแล้วน่ะสิเลยจับได้แต่ตัว)
"น่าเสียดายนะ" ร่างบางถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้
(เรื่องนั้นช่างเถอะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนที่เค้ารับผิดชอบไป เดี๋ยวเค้าก็ไปเค้นหากันเอาเองแหละ)
"ก็คงต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว" ร่างบางเม้มริมฝีปากเข้าหากันภายใต้หน้ากากอนามัยนั่น...
(ว่าแต่นายเถอะ ไหวมั้ย? ตอนนี้อยู่ไหน? เดี๋ยวไปหา)
"ฉันเนี่ยนะจะไม่ไหว แบมแบมซะอย่าง"
(แต่สภาพนายเมื่อกี้มันไม่ได้บอกแบบนั้นเลยนะแบม เจ็บมากมั้ย?)
"ไม่เจ็บสักนิด! นายก็รู้ว่าฉันถึกจะตาย..."
(นี่ถ้าฉันไปไม่ทัน นายจะมีปากมาอวดอ้างความถึกของตัวเองอยู่แบบนี้มั้ยนะ?)
"อืม... ยังไงก็ขอบใจนะที่มาทัน" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาหวิว "เพราะงั้นนายเลยต้องทนฟังฉันอวดอ้างว่าตัวเองถึกต่อไป เสียใจด้วยนะยูค ฮะๆ" ร่างบางหัวเราะเบาๆ
(นายอย่ามาทำเป็นเล่น ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าทำอะไรบ้าๆ นายนี่มันเหลือเกินจริงๆนะ!!)
"พอเลยๆ บ่นอยู่ได้... ฉันไม่คุยกับนายแล้ว หิวข้าว เดี๋ยวไปหาอะไรกินก่อน"
(เห้ยเดี๋ยวไปเป็นเพื่อน!)
"ไม่ต้อง บาย" ร่างบางกดตัดสายไปก่อนจะยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกงดังเดิม
เฮ้อ... หาอะไรกินดีล่ะ เข้าร้านข้าวตอนนี้คงได้แตกตื่นกันทั้งร้านแน่ เผลอๆอาจจะมีผู้หวังดีพาไปส่งโรงพยาบาลเลยก็ได้...ถ้ามีคนเห็นหน้าผมตอนนี้นะ... ไอ้หิวมันก็หิวอยู่หรอก... ก็แหงล่ะ... ใช้พลังไปเยอะเลย ไอ้พวกบ้านั่นก็ไม่ออมมือให้เลย ถีบเข้ามาได้ รู้แล้วว่ารองเท้าน่ะประหนึ่งคอมแบท... แน่จริงใส่รองเท้านักเรียนแบบฉันสิ 3ต่อ1ก็ไม่หวั่น
จะว่าไปก็จุกจริงๆนะ ไม่น่าพลาดเลย... จิ๊ปากอย่างเสียดายเมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อกี้
"ปากแข็งจังนะ" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นด้านข้างของร่างบางที่นั่งหัวเสียอยู่ เขาชะงักไปเมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาเป็นใคร... คุณหัวหน้าห้องม.5 ทำไมมาอยู่นี่อ่ะ!
ผมรีบหันหน้ากลับก่อนจะลุกขึ้นยืนเตรียมเดินออกจากตรงนี้... มันไม่ดีแน่ๆที่จะมาเจอคนรู้จักในสภาพนี้ ยิ่งเป็นคนที่โรงเรียนด้วยแล้ว ยิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่
"หิวข้าวไม่ใช่หรอ?" ผมชะงักขาที่กำลังจะก้าวเดิน...
อย่าบอกนะว่าเขาแอบฟังผมคุยโทรศัพท์เมื่อกี้ ก่อนที่เขาจะเดินอ้อมมาดักหน้าผมไว้ แล้วยิ้มให้
"นี่ข้าวของนาย" เขายื่นถุงพลาสติกในมือมาทางผม "ถือสิ!" เขาออกคำสั่ง... ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย
นี่ผมไม่ใช่นักเรียนห้องคุณนะ คุณถึงจะมีสิทธิ์มาสั่งผมน่ะ... ผมคิดงั้น แต่มือก็ยื่นออกไปรับเอามาไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว... เมื่อผมรับถุงนั่นมา เขาก็ล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะยื่นแบงค์หมื่นวอนมาให้ผม ผมเลิกคิ้วน้อยๆเป็นเชิงถาม
"เงินค่าข้าวของนาย..." ผมขมวดคิ้วก่อนจะคลายออกเพราะนึกได้... อ่า... ผมก็ลืมไปแล้วว่าจ่ายแบงค์อะไรป้าขายข้าวไป ตอนนั้นหยิบได้อะไรก็หยิบส่งๆให้ไปก่อน
"เก็บไปเถอะ ผมเลี้ยงไง" ผมเอ่ยบอกปัดๆไป
"ไม่... มื้อนี้ไม่นับ" เขายัดแบงค์ใส่มือผมก่อนจะเอ่ยถาม "นายโอเคใช่มั้ย?" ผมรีบหลุบตาลงต่ำทันทีที่เขาถามแบบนั้น เขาจะเห็นแผลผมมั้ยนะ หรือเลือดเปรอะที่แมสผมกันแน่เนี่ย... อุตส่าห์เปลี่ยนอันใหม่แล้วแท้ๆ
"ผมไม่ได้เป็นอะไร ขอตัว" ผมทำท่าจะเดินเลี่ยงออกมา แต่เขาก็ไม่ยอมให้ผมทำได้ตามใจ
"พี่เห็นหมดแล้วนะ..." ผมชะงักไปอีกครั้ง ใจเต้นรัวด้วยความตกใจ "ทั้งหมด" ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก... เขากำลังหมายความว่า... เขาเห็น!
"..." ผมช้อนตาขึ้นมาสบตากับเขา... ในแววตานั้นมีหลากหลายความรู้สึก
"พี่จะไม่บอกใครหรอกนะ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของพี่..." ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วเงยหน้ามองเขาตรงๆอย่างถามความต้องการ... แล้วเขาต้องการอะไรจากผม?
"ต้องการอะไร?" ผมถามออกไปเมื่อเขาไม่พูดอะไรต่อ
"แค่รู้สึกเป็นห่วงนายน่ะ" ผมชะงักไป แววตาวูบไหวเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน "บอกทีได้มั้ยว่านายไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายน่ะ"
"ผมไม่จำเป็นต้องบอก"
"แค่ตอบมา... แล้วพี่จะไม่ถามเรื่องนี้อีก" ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน พลางมองไปที่คนตรงหน้า... เขากำลังรอคำตอบจากผมอยู่อย่างใจจดใจจ่อ...
ให้ตายสิ
"อืม" ผมเอ่ยออกไปพร้อมๆกับถอนหายใจ... นั่นทำให้เขายิ้มออกมา แล้วใช้มือดันผมให้กลับไปนั่งที่ม้านั่งยาวตามเดิม ผมขืนไว้เล็กน้อยก่อนจะชะงักไปเพราะรู้สึกปวดที่ซี่โครงด้านซ้าย เลยยอมนั่งแต่โดยดี
"ถอดแมสออกมาเถอะ" เขาเอ่ย
"ไม่ใช่เรื่อง! ไหนบอกจะไม่ยุ่ง" ผมหันไปจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง ในขณะที่เขาถอนหายใจเบาๆ
"ไม่ได้ยุ่งสักหน่อย" ผมจิ๊ปากด้วยความไม่พอใจ... เนี่ยแหละเค้าเรียกว่ายุ่ง!
"แมสมันเปื้อนเลือด นายอยากให้คนอื่นมองนายรึไงเวลาเดินน่ะ" ผมจับเข้าที่แมสบนหน้าตัวเองก่อนจะรีบดึงมันออกมาดู
"ไม่เห็นมี!" ผมมองหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง กล้าดียังไงมาหลอกกัน!... ผมเปลี่ยนแมสแล้ว แล้วก่อนเปลี่ยนก็เช็ดเลือดแล้วด้วย แต่แล้วมือหนาก็ยื่นผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดที่มุมปากผม... ผมผงะไปด้านหลังเล็กน้อย
"อย่าดื้อ!" เขาเอ่ยเสียงดุๆ ก่อนจะเริ่มเช็ดเลือดที่อื่นๆบนหน้าผมอีก... ผมอยู่นิ่งๆให้เขาเช็ด ไม่รู้ทำไมรู้สึกกลัว... ไม่ใช่สิ เกรงใจดวงตาดุๆที่มองมาที่ผม
เขาหันไปเปิดกระเป๋านักเรียนก่อนจะหยิบขวดน้ำออกมาแล้วเปิดฝาเทราดของเหลวใสๆลงไปบนผ้าเช็ดหน้าในมือ ก่อนจะเอามาเช็ดหน้าผมอีกครั้ง
แสบ...
แล้วผมก็ปล่อยให้เขาเช็ดอยู่อย่างนั้น... ผมรู้สึกได้ว่าลมหายใจอุ่นร้อนของผมรดมือเขาอยู่นานพอควรเลยทีเดียว แล้วเขาก็ยังไม่ลดมือนั่นออกจากบริเวณใบหน้าผมสักที กระทั่งผมได้ยินเสียงท้องร้องดังออกมาท่ามกลางความเงียบที่เกิดขึ้นมานาน
ท้องผมร้อง... ผมเบะปากน้อยๆ มันจะไม่น่าอายเท่าไหร่ถ้าไม่ได้มีสายตาจากคนข้างๆพร้อมรอยยิ้มกวนๆส่งมาให้...
"หิวก็กินซะสิ" เขาเอ่ยก่อนจะหยิบกล่องข้าวไปเปิดแล้วยื่นมาให้... ผมเบะปากน้อยๆ ก่อนจะรับมาไว้อย่างเสียไม่ได้เมื่อคนข้างๆพยายามจะเอาช้อนตักมาป้อนผม
"กินเองได้" ผมเอ่ยก่อนจะตักข้าวเข้าปากโดยที่ไม่พูดอะไร คนข้างๆก็เอาแต่จ้องผมยิ้มๆอยู่นั่น ผมต้องหันไปค้อน ถลึงตาใส่อยู่หลายที... คนบ้าอะไรยิ้มอย่างกับแจกฟรี
ผมจัดการข้าวกล่องในมือจนไม่เหลือข้าวสักเม็ด ปิดกล่องแล้วยัดมันใส่ถุงพลาสติกตามเดิม ก่อนจะหันไปเปิดกระเป๋าตัวเองแล้วหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่มแทนที่จะรับขวดน้ำจากคนข้างๆที่ยื่นมาให้
"ผมจะกลับแล้ว" ผมเอ่ยกับคนข้างๆก่อนจะลุกขึ้น
"พี่ไปส่ง" เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ผมจิ๊ปากเบาๆ "ก็พี่เป็นห่วง เกิดนายล้มลงไปกลางทางใครจะช่วย"
"ผมไม่เป็นไร ขอบคุณ"
"นี่ เดี๋ยวสิ" เขาวิ่งมาดักหน้าผมอีกครั้ง ผมกรอกตาไปมา... ชักเริ่มจะเอือมกับคุณหัวหน้าห้องนี่แล้วสิ จะอะไรกับผมนักหนา...
"อยากตายหรอ มายุ่งกับผม" เขาชะงักไปเมื่อเห็นแววตาที่ผมส่งไปให้... อันที่จริงผมแค่ขู่ ถ้าเขาบอกว่าเขาเห็นทั้งหมด นั่นแปลว่าเขาก็ต้องเห็นถึงความอันตรายได้ไม่มากก็น้อย... ทั้งตัวผมเองที่อันตราย และพวกชุดดำนั่นก็ยิ่งอันตราย
ที่สำคัญ... เขาต้องเห็นปืน นั่นเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่า 'นี่มันอันตราย'
"โหดจัง" เขาเอ่ยเสียงอ่อย "ถึงบ้านแล้วโทรมาได้ป้ะ?" ผมเลิกคิ้วขึ้นแทบจะทันที... บ้าไปแล้วแน่ๆ คนๆนี้
"ไม่จำเป็น"
"จำเป็นสิ ก็บอกแล้วไงว่าเป็นห่วง" ผมส่ายหน้าน้อยๆ "เอาโทรศัพท์นายมา หรือไม่ก็เอาเบอร์ฉันไป... เลือกมา!" เขาเอ่ยเสียงดุอีกครั้ง... ไอ้บ้า!
ผมกรอกตาไปมาอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอย่างเสียไม่ได้... แล้วก็ต้องแบมือยื่นไปหาเขา... แล้วเขาก็หยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองมาวางแหมะลงบนที่มือผม... ผมกดยุกยิกๆลงไปในโทรศัพท์ก่อนจะส่งคืนแล้วเบี่ยงตัวหลบจะเดินไป
มือหนาคว้าข้อมือผมไว้ก่อนที่ผมจะรู้สึกถึงแรงสั่นที่โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของตัวเอง... ให้ตายสิ ผมล้วงมือลงไปหยิบโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ขึ้นมาโชว์หน้าจอให้เขาดู... แล้วทำหน้ากวนๆถามเขาว่า... 'พอใจยัง?'
เขายิ้มออกมาก่อนจะกดวางแล้วยัดมือถือเข้ากระเป๋ากางเกงตัวเองไป... ให้ตายเหอะ
"ผมไปได้ยัง?" ผมบิดข้อมือให้หลุดออกจากการถูกกุม แล้วออกเดิน
"ถึงบ้านแล้วอย่าลืมโทรมานะแบมแบม" ดวงตาเบิกโพลงทันทีที่ได้ยินแบบนั้นจากคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง แล้วผมก็หันกลับไปมองเขาอย่างเอาเรื่อง...
นี่เขาชักจะรู้เรื่องผมมากเกินไปแล้วนะ!
"ห้ามเรียกผมด้วยชื่อนั้น!"
"ไม่เอา...จะเรียก"
"อยากตายจริงๆใช่มั้ย!?" มาร์คหัวเราะน้อยๆเมื่อเห็นท่าทางของผม...
หน้าผมดูเหมือนคนที่กำลังพูดเล่นอยู่หรือไง?
"หรืออยากให้ผมตาย..." ผมเอ่ยเสียงเบาหวิว "ถ้าอยากให้เป็นแบบนั้นก็เรียกเถอะ" ผมถอนหายใจ เขานิ่งไป
"โอเค... ไม่เรียกก็ได้... พี่ไม่ได้อยากให้นายตายสักหน่อย" ผมสบตาเขาแวบหนึ่ง “แล้วจะให้เรียกนายว่าอะไรล่ะ?”
“กันต์พิมุกต์” แบมแบมเอ่ยด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย
"ไม่เอามันยาวไป...”
วันนี้ก็เรียกมาตั้งหลายครั้งแล้ว ยังเรียกได้เลย... แล้วตอนนี้มาบ่นว่าชื่อยาว อะไรของเค้าวะ!
“ฉันจะเรียกนายอย่างอื่นแทน" ผมหรี่ตามองคนตรงหน้า... รู้สึกว่าคนๆนี้ต้องทำอะไรที่ผมไม่ชอบอีกแน่ๆ
"ว่าอะไร?... จะเรียกผมว่าอะไร?" มาร์คอมยิ้มแต่ไม่ตอบอะไรกลับมา นั่นทำเอาผมฉุนขาด “นี่คุณหัวหน้าห้อง!”
"นี่... ทำไมเรียกพี่แบบนั้นล่ะ?” ผมไม่ตอบแต่หันหน้าหนีไปอีกทาง “พี่จะไม่เรียกนายว่าแบมแบม... แต่นายต้องเรียกพี่ว่า...พี่มาร์ค” ผมส่ายหน้าทันที
"ห้ามปฎิเสธ! ตั้งแต่คุยกันมาเนี่ย นายไม่เคยเรียกชื่อพี่เลยสักครั้ง" ผมไม่ปฎิเสธหรอกว่าผมไม่เคยเรียกชื่อเขา... ไม่แม้แต่คำว่าพี่ด้วยซ้ำ... แม้มันจะดูเสียมารยาท แต่ผมก็ไม่ได้อยากเอาตัวเองไปทำเหมือนกับว่าสนิทกับใครๆ นอกจากคนที่ผมสนิทด้วยจริงๆ
“......” ผมไม่ตอบอะไรเขา
"นะ..." แล้วเขาก็เปลี่ยนจากน้ำเสียงดุๆเป็นอ้อนวอน...ผมชะงักไปเล็กน้อย เพราะปรับอารมณ์ตามคนๆนี้ไม่ทัน... เฮ้อ.. ผู้ชายคนนี้เป็นคนยังไงกันแน่นะ?
"จะพยายามแล้วกัน" ผมบอกปัดๆก่อนจะหันหลังเดินไปทางที่ตั้งใจจะไปแต่แรก... ให้ตายสิ แค่อาจารย์ยุนอาไม่อยู่วันนี้วันแรก เรื่องมันเยอะขนาดนี้เลยหรอ!
เหนื่อยชะมัด...
#ฟิคสั้นมาร์คแบม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น