ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่เผลอหลับไป แต่ท่านอนเมื่อกี้มันไม่ได้ทำให้ผมปวดคออย่างที่เคยเป็น... จนผมแปลกใจ ผมหลับตาพลางขยับหัวตัวเองเบียดกับหมอนมากขึ้น...
แต่... ผมไม่มีหมอนนี่...
ผมขมวดคิ้ว... ก่อนจะลืมตาขึ้นมา... ทำไมหน้าพี่มาร์คชัดงี้อ่ะ ผมฝันอยู่รึเปล่า... ผมกระพริบตาถี่ๆ ภาพพี่มาร์คก็ยิ่งชัดจนผมชักเริ่มคิดว่าตัวเองต้องกำลังฝันอยู่แน่ๆ เมื่อผมขยับหัวตัวเองให้ห่างออกไปเพื่อจะมองพี่มาร์คจากระยะไกลๆดูบ้าง... ก็มีมือมาประคองหัวผมไว้... ทำให้ผมเข้าใจแล้วว่านี่ไม่ใช่ฝัน!
“พี่มาร์ค!!” ผมกระเด้งตัวลุกขึ้น... ดูจากสถานการณ์แล้ว เมื่อกี้ผมกำลังนอนหนุนตักพี่มาร์คหรอ!!! ผมมองหน้าพี่มาร์คที่ตอนนี้นั่งอยู่ข้างๆผม พี่มาร์คจริงๆ ตัวจริงเสียงจริงเลย! ให้ตายเถอะ... ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ? เมื่อกี้ผมงีบหลับกับอัฒจรรย์นะ แต่ไหงมานอนเอาตักพี่มาร์คหนุนต่างหมอนได้ล่ะเนี่ย
พอผมมองไปรอบๆตอนนี้ ฟ้ามันก็เริ่มมืดแล้ว และคนที่ผมเคยเห็นวิ่งเตะบอลกันอยู่ในสนามหลายสิบคนตอนนี้มันหายไปไหนกันหมดแล้วก็ไม่รู้... ผมพยายามมองหาใครสักคนนอกเหนือจากพี่มาร์คในบริเวณนั้นก็ไม่เจอใครเลย... นี่เค้าเลิกซ้อมแล้วกลับบ้านกันไปหมดแล้วใช่มั้ย? แล้วทำไมพี่มาร์คยังไม่กลับไปอีกล่ะ
“เอ่อ... ผมขอโทษนะครับพี่มาร์ค” ผมเกาท้ายทอยตัวเองแก้เก้อ ก็ผมไม่รู้จะเอ่ยคำไหนออกไปดี... คือผมไม่รู้อะไรสักอย่างหลังจากที่งีบไปแล้ว แต่ผมก็ควรขอโทษพี่มาร์คที่ผมบังอาจนอนหนุนตักพี่... ขาพี่จะชามั้ยอ่ะ? พี่ให้ผมนอนตักมานานรึยังก็ไม่รู้...
พี่มาร์คลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ซึ่งผมก็ทำบ้าง
“จดหมายครับ” ผมรีบหยิบจดหมายในกระเป๋าเสื้อตัวเองส่งให้พี่มาร์คอย่างรวดเร็ว... ไม่ได้ล้ะ ต้องรีบชิ่ง แต่พี่มาร์คไม่ยอมรับ ผมเลยเอาจดหมายวางไว้บนอัฒจรรย์ก่อน เพราะนึกขึ้นได้ว่ายังมีผ้าอีกผืนที่ต้องคืน ผมรีบหยิบถุงใส่ผ้าขนหนูออกจากกระเป๋านักเรียนแล้วส่งให้พี่มาร์คพร้อมกับจดหมายอีกครั้ง แต่พี่มาร์คก็ยังไม่รับอยู่ดี ผมก็เลยเอาจดหมายใส่ไว้ในถุง แล้ววางถุงไปบนอัฒจรรย์แทน
“ผมกลับก่อนนะครับ... ขอบคุณสำหรับผ้า สวัสดีครับ” ผมโค้งให้พี่มาร์คแล้วหันหลังเตรียมจะเดิน
หมับ
พี่มาร์ครั้งข้อมือผมเอาไว้ก่อนที่ผมจะออกเดิน... ผมหันไปมองพี่มาร์คอย่างตกใจ
“พะ...พี่มีอะไรหรอครับ?”
พี่มาร์คไม่ตอบแต่ล้วงมือลงไปในถุงที่ผมวางไว้ ก่อนจะหยิบจดหมายที่ผมเพิ่งใส่ลงไปออกมายัดใส่มือผมแทน ผมมองพี่มาร์คอย่างไม่เข้าใจ
หมายความว่าไง? พี่จะคืนจดหมายหรอ? พี่ไม่รับจดหมายเพื่อนผมแล้วหรอ?
แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถามอะไรออกไป พี่มาร์คก็พูดกับผมขึ้นมาก่อน...
พี่เค้าพูดกับผมเป็นครั้งแรกเลย
“อ่านให้ฟังหน่อย” น้ำเสียงเรียบๆนั่นทำเอาผมกลัว... อึ้งก็อึ้ง... อยากรู้ก็อยากรู้... ผมก็อยากรู้ว่าในจดหมายเขียนอะไรเหมือนกันนะ แต่ผมก็ไม่เคยเสียมารยาทเปิดอ่านเลย
แล้วผมก็ต้องจำยอมเปิดจดหมายอ่านเพราะสายตาดุๆที่ส่งมา พี่มาร์คปล่อยมือจากข้อมือผมแล้วเอามือล้วงกระเป๋าแทน... ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเมื่อเห็นข้อความในกระดาษ
‘เป็นแฟนกันนะพี่มาร์ค’
ตอนนี้ไม่ใช่แค่หน้าผมที่ชา... ผมเหมือนจะชาไปทั้งตัวเลย...
“ว่าไง? เขียนว่าอะไร?” พี่มาร์คเร่งให้ผมอ่าน...
“ปะ...เป็น แฟนกันนะ พี่มาร์ค” กว่าจะเอ่ยแต่ละคำได้มันช่างยากลำบาก... ก็แค่ไม่กี่พยางค์ แต่มันพูดยากจริงๆ
“พูดอะไร ไม่ได้ยิน” พี่มาร์คขมวดคิ้วส่งมาให้ ผมถอนหายใจก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ... โอเค
“เป็นแฟนกันนะพี่มาร์ค” ผมอ่านอย่างเสียงดังฟังชัดให้พี่มาร์คได้ยิน ก่อนจะต้องใจหายวาบกับรอยยิ้มมุมปากนั่น...
พี่ยิ้มแบบนี้หมายความว่าไงนะ? จะคบกับเพื่อนผมใช่มั้ย?
ผมยื่นจดหมายส่งให้พี่มาร์คก่อนจะโค้งลา
“หมดหน้าที่ผมแล้ว ขอตัวนะครับ” ผมหันหลังทันทีที่พูดจบ
“ไม่เอาคำตอบหรอ” ผมชะงักแต่ไม่ได้หันกลับไปมอง
“พี่ไปบอกคนถามด้วยตัวเองดีกว่...”
“ตกลง” ใจผมกระตุกวูบ... เหมือนพี่มาร์คจะไม่ได้สนใจในสิ่งที่ผมบอกเลยสินะ... ผมหันกลับไปมองเขา แล้วฝืนยิ้มให้พี่มาร์คบางๆ ก่อนจะบอก
“เพื่อนผมต้องดีใจมากแน่ๆ... เดี๋ยวผมโทรหาเพื่อนให้นะครับ” ผมหยิบโทรศัพท์ออกมากดเบอร์เพื่อนตัวเองทันที แต่ยังไม่ทันได้กดโทรออกพี่มาร์คก็แย่งโทรศัพท์ผมไปถือไว้ในมือแล้ว...
อ่า.... คงอยากบอกเองสินะ
ผมก้มหน้าลงต่ำกระพริบตาถี่ๆ รู้สึกตัวเองได้เลยว่าต้องมีน้ำตาคลอๆแน่ๆ ไม่ได้สิ ผมจะมาร้องไห้เพื่ออะไร? ผมต้องดีใจสิถึงจะถูก...
พี่มาร์คกดยุกยิกๆอะไรไม่รู้ในโทรศัพท์ผมก่อนจะยื่นกลับคืนมาให้ ผมรับมางงๆแล้วดูที่หน้าจอก็พบเบอร์โทรออกล่าสุด...
‘พี่มาร์คแฟนแบมแบม’
ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจสุดขีดเมื่ออ่านทวนชื่อเบอร์นั้นอีกหลายครั้ง ก่อนจะเงยหน้ามองพี่มาร์คงงๆ ก็เห็นเจ้าตัวยืนยิ้มให้อยู่ก่อนแล้ว ผมขมวดคิ้วก่อนจะก้มมองที่จอมือถืออีกครั้งอย่างไม่เข้าใจ... นี่มันเรื่องอะไร? ทำไม?
จู่ๆ พี่มาร์คดึงผมเข้าไปกอด เฮ้ยยยย หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้ว
“ตัวจริงยืนอยู่ตรงหน้า มองอะไรนักกับหน้าจอ ฮึ?” เสียงทุ้มเอ่ยที่ข้างหูนั่นทำให้หน้าผมร้อนผ่าว
เฮ้ยยยยยยยยยยย นี่มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย?
ผมผละออกจากพี่มาร์ค อยากจะเอ่ยถามเรื่องราวทั้งหมด... คือตอนนี้ผมไม่เข้าใจอะไรสักอย่างเดียว... หรือผมกำลังฝันอยู่นะ
“ผมฝันอยู่รึเปล่าเนี่ย?” แล้วจู่ๆพี่มาร์คประทับริมฝีปากบนริมฝีปากผมเบาๆ
“รู้ยังว่าไม่ได้ฝัน” ผมยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม กระทั่งพี่มาร์คบอกว่าถ้าผมยังไม่เลิกทำหน้าเหวอพี่เค้าจะจูบผมอีกทีแบบไม่ให้มีอากาศหายใจเลย ผมเลยต้องรีบตั้งสติตัวเอง พี่มาร์คยิ้มขำกับท่าทางของผม
“เป็นแฟนกันแล้วนะ... รู้ยัง” พี่มาร์คเอ่ยแล้วยิ้มให้ ทำเอาผมต้องยิ้มกว้างๆออกมาอย่างเสียไม่ได้ ...ถ้านี่เป็นเรื่องจริง ผมคงมีความสุขที่สุดเลยอ่ะ
“พี่มาร์ค... คือช่วยอธิบายให้ผมฟังทีได้มั้ยครับ?”
“ก็... อยากฟังเรื่องไหนล่ะ?” พี่มาร์คนั่งลงบนอัฒจรรย์ แล้วดึงผมให้นั่งลงข้างๆกัน “แต่ขอค่าอธิบายเป็นจูบได้มั้ย?”
“หือออออ” ผมส่ายหน้ารัวๆส่งไปให้ทันที พี่มาร์คยิ้มขำๆให้ “พี่แกล้งผมหรอ?” ผมตีเข้าที่แขนพี่มาร์คอย่างลืมตัว
“โอเคๆ พี่เล่าก็ได้... แต่ต้องสัญญาก่อนนะว่าจะไม่โกรธ” ผมขมวดคิ้วให้พี่มาร์ค... ทำไมผมต้องโกรธด้วย ไม่เข้าใจ...
“ครับ”
“คือพี่ชอบแบมแบม” พอพี่เค้าพูดจบหน้าผมก็ร้อนผ่าวทันที “แล้วทีนี้เพื่อนพี่มันรู้ แล้วดันปากโป้ง... เผลอไปบอกรุ่นน้องที่เค้ามาชอบพี่น่ะ... แต่มันบอกไปแบบไม่ได้คิดอะไร มันแค่อยากแกล้งพวกรุ่นน้องให้อกหักเล่นเท่านั้น”
คือที่ฟังมาผมยังไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องที่ผมงงอยู่นี่ตรงไหนเลย... แต่พี่มาร์คชอบผมจริงๆหรอ? ไม่อยากจะเชื่อเลย...
“แล้ว... ยังไงต่อครับ?”
“พี่ก็เพิ่งมารู้จากอายอนว่าแบมแบมโดนรุ่นน้องพวกนั้นแกล้ง”
“ฮะ? ผะ...ผมหรอ?” แต่ผมโดนแกล้งโดยคนที่ไม่ชอบเพื่อนผมนี่
“ใช่... พี่ขอโทษนะ ความผิดพี่เองแหละ แต่พี่จัดการให้หมดแล้วนะ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาแกล้งแล้ว” พี่มาร์คเอื้อมมือมากุมมือผมไว้ด้วยในขณะที่พูด
“หมายความว่า... คนพวกนั้นเป็นคนที่ชอบพี่หรอฮะ?... ไม่จริงหรอก... ผมว่าพี่ต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ๆเลย” พี่มาร์คส่ายหัว
“คนที่เข้าใจผิดก็คือแบมแบมเองนั่นแหละ” ผมนิ่งไปพลางคิดทบทวน ผม... เข้าใจผิดหรอ? “แบมแบมฟังนะ... พี่ขอโทษที่รู้ช้าไป แบมเลยโดนแกล้งตั้งมากมาย รุ่นน้องพวกนั้นเหมือนจะชอบพี่มากเกินไป เลยรับไม่ได้ที่พี่จะชอบคนอื่น”
“แปลว่า... ที่ผมโดนแกล้ง ไม่ใช่จากแอนตี้แฟนของอายอนเพื่อนผมหรอครับ?” พี่มาร์คพยักหน้า “แต่อายอนก็โดนแกล้ง...” นึกไปถึงช่วงแรกๆ ทั้งผมและอายอนต่างก็โดนแกล้ง
“เค้าตั้งใจแกล้งแค่แบมแบมนั่นแหละ... แต่พอดีอายอนอยู่ด้วยก็เท่านั้น” ผมอ้าปากค้าง... นี่คือ... สรุปแล้ว ผมเองใช่มั้ยที่เป็นเป้า ที่ผมคิดมาตลอดว่าโดนลูกหลงนี่...ก็คิดผิดอ่ะสิ
“แต่เดี๋ยวก่อนนะพี่มาร์ค... พี่รู้จักกับอายอนด้วยหรอ?” ได้ยินพี่มาร์คพูดถึงอายอนสองครั้งแล้ว... ผมก็อดแปลกใจไม่ได้... หรือเค้าคุยกันนอกรอบแล้วผมไม่รู้... แต่ถ้าคุยกันแล้วทำไมอายอนยังต้องฝากจดหมายให้ผมเอามาให้พี่มาร์คด้วยล่ะ?
“รู้จักสิ... ก็อายอนเป็นน้องของเพื่อนสนิทพี่”
“แล้วพี่รู้มั้ยว่าอายอนชอบ...”
“ขนาดนี้แล้วยังเดาไม่ออกอีกหรอ?” พี่มาร์คยกมือขึ้นมาโยกหัวผมไปมา “คนที่ชอบพี่น่ะ... คือเราไม่ใช่หรือไง?” ผมอ้าปากค้าง สติสตังหายไปหมด... พี่มาร์ครู้หรอ? ผมก็ไม่ได้แสดงออกอะไรเยอะเลยนะ ทำไมถึงรู้?
“มันเป็นแผนของอายอนล่ะ” พี่มาร์คเอ่ยยิ้มๆ “ถ้าไม่ได้เธอ... เราคงไม่รู้ใจกันสักที”
“พี่มาร์ค...” ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ถึงจะเขินพี่เค้า แต่ผมก็ยังไม่หมดเรื่องสงสัยอยู่ดี “พี่ดูเปลี่ยนไปนะ... ทำไมคราวก่อนที่เจอพี่ไม่เคยพูดกับผมเลย”
“พี่ก็เขินเป็นนะ” พี่มาร์คยกมือขึ้นเกาท้ายทอยตัวเอง “อยากพูดด้วยใจแทบขาด แต่ลิ้นมันแข็งไปหมด”
“แล้วทำไมตอนนี้พูดไม่หยุด... ไม่เขินแล้วหรอ?” ผมช้อนตามองพี่มาร์คที่นั่งหูแดงอยู่ข้างๆ ถ้าให้เดาตอนนี้ผมก็หูแดงอยู่เหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่อยากเห็นหน้าพี่มาร์คตอนนี้ชัดๆ
“อยากดูมั้ยว่าใครเขินกว่ากัน” พูดจบพี่มาร์คก็เอามือมาล็อคท้ายทอยผมไว้แล้วกดจูบหนักๆลงมาบนริมฝีปากผมทันที...
คงไม่ต้องบอกนะว่าใครเขินกว่ากัน... ตอนนี้สติหลุดไปไกลแล้ว...
#ฟิคสั้นมาร์คแบม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น