วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558

A Good Boy - second




          ผมเดินตามหาพี่มาร์ค... ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงพักเที่ยง ซึ่งในโรงอาหารผมไม่เห็นแม้แต่เงาพี่มาร์คเลย ผมเลยคิดว่าพี่เค้าอาจจะไปกินข้าวกับเพื่อนที่ชมรมก็ได้... ช่วงนี้คงจะเพิ่มความสามัคคีกันน่าดูเพราะใกล้จะแข่งแล้ว ผมเดินไปชะเง้อมองเข้าไปในชมรมก็เห็นกลุ่มนักเรียนนั่งล้อมกันเป็นวงใหญ่ๆ อืมม คงจะนั่งกินข้าวกันอยู่ล่ะมั้ง... แล้วถ้าผมเดินเข้าไปตอนนี้ผมจะต้องตกเป็นเป้าสายตา.. เป็นตัวประหลาดแน่ๆเลยใช่มั้ย?


          อืมมม


          อีกยี่สิบนาทีก็จะเข้าเรียนแล้ว... ผมขี้เกียจนั่งรออยู่ตรงนี้คนเดียว เพราะไม่รู้ว่าพวกพี่เค้าจะกินเสร็จกันเมื่อไหร่... รีบเอาไปให้แล้วรีบกลับดีกว่า ผมค่อยๆเดินเข้าไปขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันเสียงดัง... พยายามทำตัวเองให้เงียบที่สุด เดินให้เงียบที่สุด...


          “มาหาใครครับ?!” แล้วก็มีคนเห็นผมจนได้... คนๆนั้นนั่งอยู่ในวงโดยหันหน้ามาทางผม ขณะที่พี่มาร์คนั่งหันหลังให้ผมอยู่... เมื่อเขาทักผมด้วยเสียงดังพอสมควร ทุกคนในวงก็หันมามองผมเป็นตาเดียว เอ่อ... แล้วผมก็กลายเป็นตัวประหลาดทันทีสินะ


          “คะ...คือ ผมมาหา...” ยังไม่ทันได้พูดจบเสียงรุ่นพี่ที่ผมจำได้ขึ้นใจก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน


          “ย่าห์!!! นายกล้าโดดซ้อมหรอฮะ!!”


          “พะ...พี่เจบี” ผมเอ่ยออกมาอย่างยากลำบากเมื่อมองไปยังใบหน้าดุดันราวกับยักษ์มารนั่น... ฮือออออ นั่นมันประธานชมรมบาสฯที่ผมอยู่ครับ... ฮือออออ ทำไมเมื่อกี้นี้ถึงมองไม่เห็นนะ ถ้าผมเห็นผมจะไม่เดินเข้ามาเลยสาบาน T^T


          “ยังจำฉันได้อยู่อีกหรอ!! นายน่ะ!! หายหัวไปไหนตั้งสองอาทิตย์ ฮะ!!!!!” ตอนนี้ผมหดคอเข้าหาตัวเองอย่างเต่าหดคอเข้ากระดอง พี่เจบีน่ากลัวนี่ฮะ... พอผมอ้ำๆอึ้งๆพี่เค้าก็ทำท่าจะลุกขึ้นมา บอกเลยตอนนี้ผมเตรียมใส่ตีนหมาโกยล้ะ



          “ย่าห์!!!” เสียงอีกเสียงดังขึ้นข้างๆพี่เจบี ก่อนจะตามด้วยมือเรียวๆดึงเข้าที่ติ่งหูนั่นให้นั่งลงตามเดิม พี่เจบีร้องโอดโอยเมื่อคนข้างๆไม่ยอมปล่อยหูของตัวเองให้เป็นอิสระสักที “เพราะดุน้องอย่างนี้น่ะสิน้องมันถึงไม่มาซ้อม!”



          พี่คนที่ช่วยชีวิตผมไว้ปล่อยมือจากหูพี่เจบีแล้วหันมาหาผมแทน



          “ไม่ต้องกลัวหรอก พี่จัดการให้แล้ว” ผมยิ้มแห้งๆให้พี่เค้าไปทีนึง ก่อนจะเหลือบไปเห็นหน้าพี่เจบีที่มองมาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ “ย่าห์!!!” ไม่นานพี่เจบีก็นั่งหงอเหมือนเดิมเพราะเสียงคนข้างๆอีกครั้ง



          ผมเดินเข้าไปใกล้ๆวงมากขึ้นเพราะพี่คนนั้นที่ปราบพี่เจบีกวักมือเรียกผมเข้าไป



          “ไอ้ยองแจ! เขยิบให้น้องเค้านั่งดิ๊!” เสียงประกาศิตดังขึ้นอีกครั้งจากพี่คนเดิมข้างๆพี่เจบี ก่อนจะชี้หน้าอย่างเอาเรื่องกับคนที่นั่งตรงข้ามกันเพราะมัวแต่กินไม่ยอมเขยิบให้ผม



          “มะ ไม่เป็นไรครับ ผมแค่...” ผมยังไม่ทันพูดจบคนที่ชื่อพี่ยองแจก็คว้าข้อมือผมให้ลงไปนั่งตรงที่ๆเค้าเขยิบให้ผมนั่งเสียแล้ว จากที่ผมไม่ทันตั้งตัวเลยทำให้ผมเซเล็กน้อยไปทางอีกฝั่งหนึ่ง จนกระแทกเข้ากับไหล่คนข้างๆ ผมรีบก้มหัวขอโทษเป็นการใหญ่ แต่พอมองหน้าคนที่เพิ่งชนไปเมื่อกี้ก็ต้องตะลึง



          พี่มาร์ค!!!!



          ตอนนี้พี่เขาทำหน้านิ่งมาก... นิ่งจนผมอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไป...


          ทำไมผมถึงไม่สังเกตนะว่าที่นั่งตรงนี้คือพี่มาร์ค ทั้งๆที่เคยพูดไว้แท้ๆว่าแค่เห็นหูผมก็จำได้ขึ้นใจ...


          แต่ตอนก่อนเข้ามาผมเห็นนะว่าพี่มาร์คนั่งตรงไหน... แต่ก็ไม่ได้คิดว่าคนที่นั่งข้างๆพี่ยองแจจะคือพี่มาร์คนี่ฮะ


          อาจเพราะผมมัวแต่กลัวพี่เจบีแล้วก็พี่คนที่ปราบพี่เจบีอยู่ล่ะมั้ง เลยลืมว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่


          “ขะ... ขอโทษครับ” ผมเอ่ยเสียงเบาหวิว เมื่อพี่มาร์คยังคงหน้านิ่ง นี่ไม่คิดจะหันมาพยักหน้าอะไรสักหน่อยหรอครับ ให้ผมคิดว่าพี่ไม่ได้ถือสาอะไร... หรือไม่ก็ตอบ ‘อืม’ คำเดียวก็ได้ ถือว่ารับคำขอโทษผมแล้ว


          “นี่กินเลยสิ” ผมส่ายหน้ารัวๆให้พี่ชายฝั่งตรงข้าม “ไม่ต้องกลัวเจบีมันหรอก... เดี๋ยวพี่จัดการให้เอง!” ผมยิ้มแหยๆไปให้พี่เค้า


          “ผะ..ผมทานมาเรียบร้อยแล้วฮะ... เอ่อ.. ขอบคุณครับ พี่...” ผมลากเสียงคำว่าพี่ยาวๆเป็นเชิงถามว่าพี่อ่ะ ชื่ออะไร


          “พี่จินยอง แต่เรียกพี่จูเนียร์ดีกว่า” เค้ายิ้มให้ผมจนตาหยี ผมก็พยักหน้าเบาๆ “อ้อ ถ้าเจบีมันดุอะไรแรงๆมาฟ้องพี่ได้ทันทีเลยนะ! พี่อยู่ชมรมฟุตบอล ว่างๆก็มานั่งเล่นที่สนามได้นะ”


          “เอ่อ..คะ...ครับ” ผมหลบสายตาพี่เจบีก่อนจะก้มลงมองมือของตัวเองอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี ไม่กล้าหันไปมองคนข้างๆด้วย... ผมรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างยังไงไม่รู้


          ผมตัดสินใจยื่นจดหมายไปให้คนข้างๆที่นั่งหน้านิ่งในระหว่างที่คนอื่นกำลังคุยกันเสียงดัง ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ


          “พี่มาร์ค...เพื่อนผมฝากมาให้ครับ” ผมเหลือบตาขึ้นมามองคนรอบๆวงที่ไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่เท่าไหร่ ก่อนสายตาจะเลื่อนไปมองคนข้างๆอย่างลืมตัว ผมก็เห็นสายตานิ่งๆจากคนข้างๆมองผมอยู่ก่อนแล้ว ผมสะดุ้งน้อยๆที่พี่มาร์ครับจดหมายในมือไปถือไว้ ผมกระพริบตาสองสามทีถี่ๆเพื่อเรียกสติ ก่อนจะรีบยืนขึ้น โค้งให้ทุกคนแล้วบอกลาทันที


          ขืนผมอยู่ต่อ ผมได้กลายเป็นหินจริงๆแน่ นี่พี่มาร์คหรือเมดูซ่าครับ


          ฮืออออออออ






          แล้ววันนี้ผมก็ไม่เปียกฮะ... ถ้าไม่นับรวมกับเหงื่อที่ท่วมตัวขณะนั่งข้างๆพี่มาร์ค และการที่ผมวิ่งออกมาจากสนามกลับไปห้องโดยไม่หยุดพักล่ะก็... ผมว่าวันนี้ผมยังไม่โดนแกล้งนะ


          แต่ผมยังไม่วางใจหรอก วันนี้อาจจะพักให้ผมตายใจ พรุ่งนี้จัดหนักอะไรแบบนี้อีก... ผมจะไม่ทน T^T


          วันนี้ก็ย่างเข้าสู่กลางสัปดาห์แล้วสินะ ตอนนี้ผมกำลังจะเดินลงจากตึก หลังจากเลิกเรียนอายอนก็รีบไปซ้อม ผมจะขอตามไปดูเธอก็บอกว่าวันนี้ซ้อมเลิกดึก ให้ผมกลับเลยไม่อยากให้รอเพราะเป็นห่วง ผมเลยต้องทำตามที่เธอขอ... ไม่เคยขัดคำขอเธอเลยสักครั้ง


          ผมเดินทอดน่องมาตามทางเดินเรื่อยๆ มันแปลกนะที่ผมยังไม่เปียกกระทั่งวันนี้อ่ะ มันเป็นไปได้ไงอ่ะ? ...หรือว่าพวกนั้นจะเลิกแกล้งผมแล้วครับ


          เย้!







          ซ่าาาาาาาาาาา


          ผมคิดผิดไปใช่ป้ะ... ไม่น่าว้อนท์เล้ยยยย แบมเอ้ย


          ผมหยุดเดินพลางเอามือปาดน้ำออกจากหน้าตัวเอง ก่อนจะใช้มือปัดผมตัวเอง ที่ตอนนี้ลู่ลงมาแนบกับใบหน้าออก... ก่อนจะแหงนขึ้นไปมองที่ตึก จุดที่คาดว่าน้ำน่าจะมาจากตรงนั้น ผมเห็นเด็กนักเรียนหญิงสองสามคนวิ่งหายไป... หืมมมม สลายตัวเร็วกันนักนะ!


          เฮ้อ... แล้วผมก็เลิกมองขึ้นไป มองไปก็เสียเวลาเปล่า... ยังไงผมก็เปียกไปแล้วนี่... แต่ก็ยังขอบใจนะที่เป็นน้ำเปล่า ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ค่อยยังชั่วหน่อย... ดีไม่ใช่น้ำปลาเหมือนวันนั้น


          ไหนๆก็เลิกเรียนพอดี... งั้นผมกลับบ้านทั้งเปียกๆแบบนี้แหละ ขี้เกียจเดินไปเปลี่ยนชุดเพราะเดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว... อีกอย่างตอนนี้กระเป๋าผมมันก็เปียกไปหมดล้ะ... เสื้อผ้า หนังสงหนังสือ... หมดล้ะ!


          ผมหลับตาลงแล้วใช้มือสะบัดผมตัวเอง หยดน้ำกระเซ็นไปตามแรงที่ผมสะบัด ก่อนจะพบว่ามีเท้าของใครบางคนยืนอยู่ตรงหน้าผมเมื่อผมลืมตาขึ้นมา และเมื่อมองไล่จากเท้าขึ้นมาก็เห็นใบหน้านิ่งๆที่ตอนนี้เปื้อนน้ำจากการสะบัดของผมอยู่เต็มหน้าและเสื้อของเขา...


          “พะ...พี่มาร์ค!”


          ตอนนี้เขาก็ยังคงมองมาที่ผมนิ่งๆอีกตามเคย แถมตอนนี้ยังขมวดคิ้วแน่นเป็นปมอีกต่างหาก ผมรีบก้มหน้าขอโทษขอโพยเค้าเป็นการใหญ่... ไม่รู้ทำไมเจอหน้าพี่ทีไรผมต้องพูดขอโทษพี่ทุกทีสิหน่า...



          ก่อนจะรู้สึกถึงสัมผัสนุ่มๆที่หัว แล้วตามด้วยชายผ้าที่ห้อยต่องแต่งอยู่ข้างๆสายตาทั้งสองข้าง... เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นพี่เค้าหันหลังเดินออกไปแล้ว... ผมเอื้อมมือไปหยิบผ้าที่คลุมอยู่บนหัวตัวเองมาถือไว้... ผ้าขนหนูสีขาวสะอาดตา... ก่อนที่จะเหลือบไปเห็นที่ชายผ้าด้านหนึ่งที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษสีดำปักอยู่


          Mark.


          ผมยกผ้าขึ้นมาดมก่อนจะยิ้มบางๆออกมาอย่างไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก...


          อ่า... หอมจัง



          เดาว่าพี่มาร์คอาจจะเห็นผมโดนน้ำสาดลงมาใส่มั้ง... ก็เลยหวังดี


          ส่วนเรื่องผ้าเนี่ย... มันก็ธรรมดาที่จะพกติดตัวเพราะพี่เค้าเป็นนักกีฬา... มันก็แค่เรื่องบังเอิญ


          แต่ทำไมผมรู้สึกดีจัง...





          ผมใช้ผ้าของพี่มาร์คเช็ดหน้า ซับน้ำที่ผมของตัวเองไปพลาง เดินกลับบ้านไปพลาง โดยที่ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มอยู่ไม่คลาย...


          พรุ่งนี้ผมคงต้องซักมาคืนพี่มาร์คซะแล้ว





          วันต่อมาผมมาโรงเรียนปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือ... ทำไมวันนี้คนหลบหน้าหลบตาผมเยอะจัง... จริงๆผมก็พอจะจำได้คลับคล้ายคลับคลานะว่าผู้หญิงคนไหนเคยแกล้งผมบ้าง... แต่ที่ผมไม่เอาเรื่องหรือแก้แค้นคืนเพราะผมไม่อยากมีปัญหาระยะยาว... คิดดูสิ ถ้าเราแก้แค้นคืน เอาคืนพวกนั้น ไม่นานพวกนั้นก็จะหาวิธีแก้แค้นผมกลับมาอีก ซึ่งมันอาจจะไปงัดเอาวิธีแก้แค้นอะไรใหม่ๆมาใช้กับผมก็ได้... อาจจะรุนแรงกว่าการแกล้งแบบสงกรานต์บ้านผมก็ได้นะ ผมไม่อยากเจออะไรใหม่ๆตอนนี้ รับไม่ไหวนะครับ.... ผมเลยเลือกที่จะอยู่เฉยๆ เดี๋ยวมันก็เลิกแกล้งผมกันเองแหละ


          เอาดีๆนะ คนที่หลบตาผมส่วนใหญ่วันนี้ที่จำได้ เป็นพวกที่แกล้งผมมาแล้วทั้งนั้นอ่ะ ทุกทีเห็นแสยะยิ้มใส่ แต่วันนี้มาแปลก... อย่าบอกนะว่าจะมาแบบสึนามิ ที่แบบคือหายไปเงียบๆก่อน แล้วจัดหนักมาทีเดียวบ้านพังเลยอ่ะ... ไม่นะ... ผมไม่อยากซื้อชุดนักเรียนใหม่แล้วอ่ะ... แค่คิดก็... ฮือออออออ


          “แบมแบม... ใจลอยไปถึงไหน?” ผมสะดุ้งน้อยๆเมื่ออายอนเดินมาสะกิดเรียก ก็คนกำลังคิดอะไรเพลินๆ... ไอ้อะไรเพลินๆที่ผมพูดถึงน่ะ ก็ไม่พ้นเรื่องพี่มาร์คหรอกครับ... คือผมกำลังคิดว่าผมจะเอาผ้าไปคืนพี่มาร์คยังไงดี... คือเอาไปคืนที่ห้องเรียนดีมั้ยนะ? หรือจะเอาไปแอบใส่คืนที่ล็อกเกอร์ชมรมดี? หรือจะเอาไปคืนที่สนามบอล? หรือว่าจะฝากเพื่อนพี่เค้าไปคืนดีนะ? โอ้ยย ผมคิดไม่ออกอ่ะ...


          “คือ... ไม่มีอะไร... แล้ววันนี้มีซ้อมอีกแล้วใช่มั้ย?” ผมเปลี่ยนเรื่องคุยทันที ซึ่งอายอนก็พยักหน้าแล้วยิ้มให้


          “ใกล้วันงานแล้วก็แบบนี้แหละต้องซ้อมหนักหน่อย” เมื่ออายอนพูดจบผมก็นึกไปถึงอีกคนทันที... พี่มาร์คก็ใกล้แข่งแล้วสินะ... คงต้องซ้อมหนักน่าดูเลย


          “แบมแบม!” ผมสะดุ้งเมื่ออายอนตีเบาๆที่แขนผม “เป็นอะไร? นี่ไม่ฟังกันเลยใช่มั้ย? ปล่อยให้อายอนพูดอยู่ได้คนเดียวตั้งนาน” อายอนบอกผมงอนๆ เอ่อ... เมื่อกี้ผมคิดอะไรเพลินๆอีกแล้วสินะ


          “อ่า... แบมขอโทษนะ พอดีคิดอะไรเพลินๆอยู่... พูดใหม่อีกทีได้มั้ย? แบมจะตั้งใจฟังเลย สัญญา!” ผมยกนิ้วชูขึ้นมาสามนิ้วเป็นเชิงว่า สัญญาด้วยเกียรติของลูกเสือ (?) ซึ่งอายอนก็หายงอนแล้วหันมายิ้มให้ผมเหมือนเดิม


          “หายงอนแล้วก็ได้... แต่เย็นนี้ต้องช่วยอะไรอายอนอย่างนึงนะ” เธอพูดยิ้มๆ ผมได้แต่เลิกคิ้วมองเธอด้วยความแปลกใจ แต่ก็พยักหน้าตอบรับไป... เธอยิ้มกว้างให้ผมก่อนจะเอ่ย “ฝากจดหมายให้พี่มาร์คหน่อยนะ” ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองชา... คือผมลืมไปได้ยังไงว่าเพื่อนผมชอบพี่มาร์คอยู่... แต่ผมดันมานั่งคิดถึงพี่มาร์คเองซะได้ แทนที่จะหาทางเป็นพ่อสื่อให้เพื่อน...


          “ได้สิ...” ผมเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงพลางรับจดหมายจากอายอนมาไว้ในมือก่อนจะใส่มันลงไปในกระเป๋าเสื้อตัวเอง


          ตอนพักกลางวันนั้นเอง ผมกับอายอนลงไปกินข้าวกัน ผมแอบเห็นพี่มาร์คลงมากินข้าวที่โรงอาหารกับเพื่อนด้วย ผมเลยบอกอายอนว่าจะเอาจดหมายไปให้พี่มาร์คเลย แต่อายอนก็รั้งผมไว้... ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไม? ในเมื่อเจอตัวพี่มาร์คแล้วก็ควรจะเอาไปให้สิ? ต้องรออะไรเหรอ?


          “ไว้ให้ตอนเย็นนะแบม... ตอนนี้คนเยอะ เดี๋ยวเขิน” อ่าา... ที่แท้ก็เขินสินะ


          “อืม” ผมรับคำแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวในจานของตัวเองต่อไป ทำไมต้องรู้สึกจุกที่อกด้วยนะ... มันอึดอัดบอกไม่ถูก... ผม... จะรู้สึกดีใจจริงๆใช่มั้ย? ถ้าเค้าสองคนเป็นแฟนกัน... ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองอกหักเลยล่ะ... น่าขำสิ้นดี


          ก็แค่คนที่แอบปลื้ม... ก็แค่ปลื้ม.......


          ตอนนี้เวลาก็เดินมาจนถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว... อายอนรีบไปที่ชมรมอีกเช่นเคย ส่วนผมน่ะเหรอ?... ก็พาตัวเองเดินมาที่ๆคุ้นเคยไง... สนามบอล


          พอเดินมาถึงผมก็เห็นเค้ากำลังฝึกซ้อมโดยแข่งกันเป็นทีม... แม้คนในสนามจะวิ่งกันไปมาเยอะแยะ แต่คนแรกที่ผมสะดุดตากลับเป็นคนๆเดียวกับที่ผมตั้งใจมาหาเขาเพื่อส่งจดหมาย... พี่มาร์ค




          เขาเป็นคนแรกที่ผมเห็น... เสมอ




          ผมนั่งรออยู่ตรงอัฒจรรย์ข้างสนามอยู่สักพัก นั่งดูพี่มาร์ควิ่งเลี้ยงลูกไปเพลินๆและทำประตูสวยๆไปได้หนึ่งลูก กระทั่งมีคนขอเปลี่ยนตัวลงไปแข่งแทนพี่คนนึง... ผมจะไม่อะไรเลยนะ ถ้าพี่คนนั้นที่เปลี่ยนตัวออกมาจากสนามไม่ได้กำลังเดินมาทางผม... ผมละสายตาจากพี่มาร์คมามองพี่คนนี้แทน ไม่ให้มองเห็นทีจะไม่ได้ เพราะเมื่อพี่เขาเดินมาถึงผมก็นั่งลงข้างๆผมเลย... ผมชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพี่เขาส่งยิ้มมาให้


          “มานั่งรอใครหรอ? เห็นนั่งอยู่นานแล้ว” เขาเอ่ยอย่างเป็นมิตร... ผมยิ้มแห้งๆส่งไปให้แล้วตอบ


          “เอ่อ... พอดี มีคนฝากของให้พี่มาร์คน่ะครับ ผมเลยเอามาให้” เขาพยักหน้าน้อยๆ


          “ไอ้มาร์คมันเล่นอีกสักพักนะ... วันนี้มันคึก”


          “อ่า...” ผมเหลือบมองไปยังพี่มาร์คที่อยู่ในสนาม แต่ผมก็ต้องรีบหันหน้าหนีทันทีเมื่อพี่มาร์คกำลังมองมาที่ผมอยู่เหมือนกัน... ใจเต้นรัวราวกลองชุด... ไม่หรอก พี่มาร์คอาจจะมองมาพอดี... หรือพี่มาร์คอาจมองคนอื่น...


          “ยังไงก็รอมันหน่อยแล้วกันนะ” คนข้างๆผมเอ่ยก่อนจะลุกออกไป


          “พี่ครับ! เดี๋ยวก่อน” ผมเรียกเขาไว้ก่อนที่เขาจะเดินออกไป เขาหันกลับมามองผม “คือผมฝากพี่ให้พี่มาร์คทีได้มั้ยครับ?”


          “พี่ว่าจะกลับแล้วล่ะ... ขอโทษด้วยนะ ยังไงก็รอมันหน่อย... เดี๋ยวก็ซ้อมเสร็จแล้ว” ผมต้องพับคำขอร้องอ้อนวอนที่พยายามคิดไว้ในหัวเก็บลงไปเมื่อได้ยินดังนั้น


          “ครับ... ไม่เป็นไรครับ” ผมโค้งลาก่อนจะถอนหายใจเมื่อพี่เขาเดินออกไป... คงต้องนั่งรอสินะ


          ดูท่าทางแล้วพี่มาร์คคงจะเล่นอีกนานแน่ๆ ผมไม่ได้คิดไปเองนะว่าพี่มาร์คมองมาทางที่ผมนั่งอยู่บ่อยๆ... บ่อยจนผมรู้สึกประหม่า... ผมเลยเลือกที่จะหันไปทางอื่นแทน... หันหน้าเข้าหาอัฒจรรย์ซะเลย ว่าแล้วก็ขอพักสายตาสักหน่อยเถอะ... ผมวางแขนบนพื้นอัฒจรรย์ก่อนจะเอาหัวแนบลงไปกับแขนแล้วหลับตา...

#ฟิคสั้นมาร์คแบม


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น