ห้ามเป็นอะไรตกลงมั้ย?
“กันต์พิมุกต์..” เสียงของหัวหน้าห้องผม.. มินอา ดังขึ้นที่หน้าห้อง มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่อาทิตย์ก่อน... พี่มาร์ค มารับผมเหมือนเช่นทุกเช้า
ผมเดินหอบเอาเอกสารไปหาเขาที่หน้าห้อง ก่อนที่เขาจะเข้ามาหยิบมันไปถือไว้เสียเอง... ก็พูดไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้วว่าไม่ต้องมา... ผมมีขา เดินไปเองได้ ผมโตแล้วไม่หลงหรอก และผมมีมือ ผมถือเองได้.. แต่มาร์ค ต้วน ก็เป็นมาร์ค ต้วนอยู่วันยังค่ำ ในที่สุดเค้าก็แย่งผมไปถืออยู่ดีนั่นแหละ...
วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้ทำอะไรแบบนี้... หลังจากวันนี้ไปก็คงเหลือแค่มากินข้าวกลางวันกับผมที่ห้อง.. และเดินมาส่งผมกลับที่พักเท่านั้น ซึ่งผมก็บอกไปไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้ว ว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้.. แต่เขาก็ไม่ยอมลูกเดียว... ดื้อเป็นบ้า
ตลอดคาบโฮมรูม ผมกับเค้าดูเหมือนปกติทุกอย่าง ไม่ได้คุยเหมือนสนิทกันอย่างออกรสออกชาติ ไม่ได้เล่น ยิ้ม หรือ หัวเราะให้กัน ผมกับเค้าแทบจะไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้นเลย... จะมีก็แต่กระดาษแผ่นเล็กๆที่มักจะถูกสอดเข้ามาตอนผมกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่นี่แหละ.. ผมบอกเขาไปแล้วแท้ๆว่าให้ทำตัวเหมือนวันแรกที่ผมเข้ามาโฮมรูมแทนอาจารย์ยุนอา แต่เขาก็ขอสักนิดนึง...ให้ได้แหย่ผม... มาร์ค ต้วนนี่มันมาร์ค ต้วนจริงๆ
*
*
*
มาร์คเอาแต่นั่งมองใบหน้าด้านข้างของแบมแบม วันนี้แบมแบมไม่ได้ใส่แมสมาเหมือนเช่นทุกวัน แผลของเขาหายหมดแล้ว และไม่ได้มีแผลใหม่เพิ่มขึ้นมา... นั่นเป็นเพราะยูคยอม... เขาไม่ยอมบอกงานที่แบมแบมจะต้องไปทำให้เจ้าตัวรู้ ยูคยอมรับผิดชอบงานทุกอย่างแทนแบมแบมทั้งหมด... เขาบอกผมให้ดูแลเด็กคนนี้ให้ดีที่สุด... ซึ่งผมก็รู้หมดแล้วล่ะ ทุกเรื่องของเด็กคนนี้...
เพราะวันนั้นในระหว่างทางที่นั่งรถกลับบ้าน...
“ไม่ว่านายจะเป็นใคร... ฉันขอเตือน ถ้าคิดจะก้าวเข้ามาในชีวิตเพื่อนรักของฉันแล้ว... อย่าแม้แต่คิดที่จะถอยหลังกลับ... ถ้านายทำแบบนั้น ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่!” ยูคยอมเอ่ยทันทีที่ผมก้าวขึ้นรถและปิดประตูเรียบร้อยแล้ว ท่าทียิ้มแย้มเหมือนตอนแบมแบมยังอยู่ด้วยไม่มีให้เห็นอีกต่อไป... ผมแอบกลืนน้ำลายเพราะรู้สึกได้ว่าเขาพูดจริง และผมก็เชื่อว่าเขาจะทำจริงด้วย
“ฉันไม่รู้อนาคต แต่ด้วยเกียรติของลูกผู้ชายด้วยกัน ฉันกล้าพูดตรงนี้เลยว่า ฉันไม่... แม้แต่จะคิดที่จะไปจากแบมแบม ฉันจะอยู่ข้างเขา จะอยู่กับเขา จะดูแลเขา ปกป้องเขา..”
“ปกป้องหรอ? ระดับนาย..จะปกป้องใครได้”
“ฉันว่านายเองก็คงผ่านจุดนี้มาแล้ว... ถ้านายอยากปกป้องใครสักคน... นายจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เค้าปลอดภัย ฉันพูดถูกมั้ย? สำหรับเด็กคนนั้นที่นายพยามปกป้องมาตลอด และฉันคิดว่านายจะต้องเข้าใจฉันดีที่สุด” ยูคยอมนิ่งไปก่อนจะถอนหายใจ
“ออกรถได้ครับลุง ขับไปเรื่อยๆก่อน” ยูคหันไปบอกคนขับรถให้ออกรถได้...
“นายพูดถูก...” เขาหันมามองหน้าผม “ฉันรักและปกป้องเขามาตลอด... แบมแบมน่ะ”
“.......”
“นายคงจะสงสัยสินะว่าฉันกับแบมแบม พวกเราเป็นใครกันแน่...”
“ก็สงสัยนะ แต่ถ้านายไม่อยากบอกฉันก็ไม่...”
“ฉันเป็นตำรวจ... และแบมเป็นว่าที่ตำรวจ เขายังไม่ได้สอบบรรจุ ต้องรอจนกว่าเขาจะเรียนจบ.. แม้ว่าแบมจะยังไม่ใช่ตำรวจ... แต่ทุกวันนี้เขาก็ช่วยเหลือทุกคดีที่เขาสามารถทำได้”
“คดี?”
“ก็อย่างเช่นวันนั้นที่นายเห็น...” มาร์คนึกไปถึงวันที่เขาเห็นแบมแบมกำลังต่อสู้กับพวกชุดดำนั่นจนสะบักสะบอม
“ทำไมนายปล่อยให้เขาเสี่ยงขนาดนั้น วันนั้นเขาเกือบโดนยิง!” มาร์คขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด ใช่.. ถ้าวันนั้นยูคยอมมาไม่ทัน... เด็กคนนั้นอาจโดนยิงตายไปแล้วก็ได้
“แบมน่ะไม่กลัวปืนหรอก หมอนั่นไม่กลัวแม้กระทั่งความตาย เพราะแบมเคยเฉียดความตายมาแล้วถึงสองครั้ง... ครั้งแรกตอนที่เห็นพ่อแม่ตัวเองถูกยิง และครั้งที่สองตอนที่ตัวแบมเองถูกยิง”
“ถูกยิง?”
“ใช่... คดีที่ไทยน่ะ.. พ่อฉันและพ่อแบมเองก็เป็นตำรวจ.. หลังปิดคดีได้พวกมันบางส่วนที่รอดจากการถูกจับกุมก็แค้นพ่อฉันและพ่อแบมมาก.. มันแค้นมากขนาดบุกไปถึงบ้านแบม... และยิงใส่ทุกคนที่มันเจอ... พอพ่อฉันไปถึงที่นั่น... มันก็สายไปแล้ว”
“.......”
“แบมเองก็ถูกยิงเหมือนกัน... แต่โชคดีที่พวกนั้นคิดว่าแบมตายแล้ว แต่จริงๆแล้วเขายังหายใจ แม้ลมหายใจจะอ่อนแรงเต็มทีก็เถอะ... พ่อแอบพาแบมมาพักรักษาตัวที่นี่ เพราะพ่อเป็นที่พึ่งเดียวที่แบมมี แล้วปล่อยข่าวออกไปว่าทุกคนในบ้านถูกฆ่ายกครัวเพื่อความปลอดภัยของคนที่ยังมีชีวิตอยู่”
“ฉันจำได้ว่าวันนั้น.. พ่อพาแบมมาที่เกาหลี นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นเขา อาการของเขาน่าเป็นห่วง.. นายคิดดู เด็กคนนึงจะทนพิษบาดแผลขนาดนั้นได้ยังไง... แต่รู้มั้ย?.. เขาเข้มแข็งมาก... เขารอดมาได้.. แต่พอฟื้นขึ้นมา เขาก็ไม่พูดกับใคร เอาแต่เก็บตัวเงียบ ร้องไห้ตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับไป.. พ่อขอให้ฉันดูแลเขา เล่นกับเขา ทำให้เขามีความสุขที่สุด.. ฉันเองก็ไม่ชอบน้ำตาอยู่แล้ว... เลยพยายามทำทุกทางเพื่อที่จะได้เห็นรอยยิ้มจากเด็กคนนั้นแทนที่จะเป็นน้ำตา..” ยูคยอมสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วเริ่มเล่าต่อ
“แต่สิ่งที่ฉันได้กลับมาคือความเจ็บปวดทั้งหมดของเขา... เขายิ้มให้ฉัน..ขณะที่น้ำตายังคงไม่หยุดไหล... เพราะเขาเป็นห่วงความรู้สึกของฉันที่พยายามทำเพื่อเขา...” มาร์ครับรู้ได้ว่ายูคยอมเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน...
“........”
“นี่แหละคือแบมแบม... ฉันถึงทั้งรัก ทั้งห่วง และหวงเขามาก.. กว่าเขาจะข้ามกำแพงแห่งความเจ็บปวดนั้นมาได้... มันต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนนายรู้มั้ย? กว่าเขาจะก้าวผ่านความทรงจำอันเลวร้ายมาได้ เขาต้องเสียน้ำตาไปมากมายแค่ไหนนายรู้มั้ย? แม้ฉันจะรู้ว่าทุกวันนี้... เขาก็ยังคงอยู่กับมันก็ตาม... แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำให้คนที่รักและเป็นห่วงเขาต้องมาคอยกังวลใจไปกับเขาด้วย..”
“แบมน่ะ... ผ่านเรื่องเลวร้ายมามาก ฉันหวังว่านายจะเป็นเรื่องดีๆ หนึ่งในไม่กี่เรื่องของเขานะ”
“เป็นอะไร?” เมื่อเห็นว่าคนข้างๆที่เดินมาด้วยกันเอาแต่เหม่อจนรถเกือบจะชน จนแบมแบมต้องกระชากตัวเขาหลบแทบไม่ทัน มาร์คที่เพิ่งจะได้สติก็ทำหน้าตาตื่นตระหนกจนแบมแบมอดไม่ได้ที่จะขำกับท่าทางแบบนั้น
“ส่งผมแค่นี้ก็พอ กลับบ้านดีๆนะครับ อย่าเดินเหม่อจนโดนรถชนเข้าล่ะ” แบมแบมว่า
“เป็นห่วงพี่เหรอ?” มาร์คถามพลางเดินเข้าใกล้แบมแบมมากขึ้น
“ก็แค่บอกไว้... ว่าห้ามเป็นอะไรนะ” แบมแบมแตะมือลงบนไหล่มาร์ค “ห้ามเป็นอะไรตกลงมั้ย?” มาร์คไม่ตอบเพียงแต่ดึงอีกคนเข้าสู่อ้อมกอด
“ตกลง... พี่จะไม่เป็นอะไรเด็ดขาด... พี่สัญญา... ”
“ขอบคุณครับ” แบมแบมยกมือขึ้นมากอดตอบอีกคน มาร์คผละออกจากแบมแบม เขายกมือขึ้นประคองใบหน้าอีกคนอย่างเบามือ
“จูบได้มั้ย?” มาร์คถาม แต่แบมแบมก็แค่ฟาดมือลงบนไหล่เขาเท่านั้น
“จูบนะ” มาร์คไม่รอให้แบมแบมทำอะไรเขาอีก เขาก็จัดการประกบริมฝีปากลงบนริมฝีปากอวบอิ่มของอีกคนไปแล้ว เขาจูบแบมแบมอยู่นานจนอีกคนต้องทุบไหล่ประท้วงมาร์คถึงยอมปล่อยให้ปากของแบมแบมเป็นอิสระ หลังจากได้รับอิสระ แบมแบมก็ผลักมาร์คออกเบาๆ
“ถ้าไม่รอให้อนุญาต.. ทีหลังก็ไม่ต้องขอ” แบมแบมค้อนใส่มาร์ค
“งั้นทีหลังจะไม่ขอนะ เพราะยังไงก็จะจูบอยู่ดี” แล้วมาร์คก็ได้หมัดหนักๆของแบมแบมเข้าเต็มหน้าอกไปแทนคำตอบ ทั้งคู่ยิ้มให้กันก่อนที่มาร์คจะให้แบมแบมเข้าห้องไปก่อนที่ตัวเขาเองจะเดินกลับบ้านเช่นทุกวัน
*
*
*
สองขายาววิ่งด้วยความรวดเร็วก่อนที่จะมาหยุดอยู่ที่หน้าเซฟเฮาส์ แม้จะหอบจากการวิ่งมาเป็นระยะทางพอสมควร แต่เขาก็ไม่คิดจะหยุดพักไปนานกว่านี้ แบมแบมก้าวเข้าไปด้านในทันทีเมื่อเจ้าหน้าที่นายหนึ่งเปิดประตูให้
เมื่อมาถึงตัวเซฟเฮาส์ ประตูห้องประชุมที่ควรจะปิดเอาไว้กลับถูกเปิดอ้าออก.. นั่นแปลว่าการประชุมได้เสร็จสิ้นลงแล้ว แบมแบมถอนหายใจเบาๆ.. มาไม่ทันสินะ
เขาลอบถอนหายใจอีกครั้ง เพราะสาเหตุที่ทำให้เขาต้องมาสายนี่ก็คือมาร์ค ต้วน นี่แหละ เขาบุกไปหาผมที่ห้องแต่เช้า ก่อกวนทุกสิ่งอย่าง ไล่ก็ไม่กลับ ทำยังไงก็ไม่ยอมแพ้สักที เฮ้อ
แบมแบมก้าวช้าๆเข้ามาในห้องที่มีผู้ใหญ่หลายท่านเดินสวนออกไปเรื่อยๆ
“ขอโทษครับ ผมมาสาย” แบมแบมเอ่ยกับคุณอาหรือก็คือคุณพ่อของยูคยอมที่กำลังยืนคุยอยู่กับยูคยอมอยู่ภายในห้อง... คุณอาหันมาหาเขาก่อนจะยิ้มให้
“ผมต้องทำอะไรบ้างครับ?”
“ไม่ต้องทำอะไร... เพราะงานนี้อาไม่ให้เธอทำ"
“ทำไมล่ะครับ? ถ้าผมมาสาย..”
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอก”
“ถ้างั้น... ทำไมล่ะครับ?"
“มันอันตรายเกินไป" อันตรายเกินไป? งานแบบนี้ผมทำมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ทำไมคุณอาท่านถึงบอกว่ามัน อันตรายล่ะ
"ไม่หรอกครับ ผมเคย.."
"มันไม่เหมือนกัน.. เชื่ออานะ"
"แต่.."
"พรุ่งนี้อาจะให้คนไปส่งที่โรงเรียน ตอนเย็นจะให้คนไปรับ.. ตั้งใจเรียนล่ะ" คุณอาวางมือลงบนไหล่ผม
"ครับ" ผมจำต้องรับปากออกไปอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆทั้งสิ้น.. แม้ท่านจะเป็นพ่อบุญธรรมของผม.. แต่ผมเชื่อฟังท่านเสมือนท่านเป็นพ่อแท้ๆของผมเอง ผมไม่อยากทำให้ท่านผิดหวัง ท่านบอกให้ผมตั้งใจเรียนผมก็จะทำ... แล้วพอผมเรียนจบผมก็จะได้สอบบรรจุเข้าเป็นตำรวจในหน่วยปฏิบัติการพิเศษได้สักที...
คุณอาเดินออกจากห้องไป เหลือเพียงแค่ผมและยูคยอมเท่านั้น
"นายไม่ต้องห่วงนะ ที่เหลือฉันจะจัดการให้เอง" ยูคเอ่ยด้วยสีหน้ามุ่งมั่น.. ผมขมวดคิ้วใส่เพื่อนรัก.. แต่ยูคก็หลบหน้าผม..
มันต้องมีอะไรสิ แม้ยูคจะรู้นิสัยผมดี.. แต่อย่าลืมว่าผมก็รู้นิสัยเขาไม่แพ้กัน มันจะต้องมีอะไรที่ผมยังไม่รู้แน่ๆ
"ไปกินข้าวกันมั้ย? หิวจังเลย" ยูคยอมหัวเราะออกมาอย่างร่าเริงพลางทำท่าจะเดินออกจากห้อง...
ผิดปกติจริงๆด้วย..
"ยูค" ผมเรียกเขาเบาๆ ซึ่งเขาก็ชะงักไปแต่ไม่ได้หันหลังกลับมามองผมหรอก "นายห้ามไม่ให้ฉันโกหก... แต่นายกำลังทำในสิ่งที่นายห้ามฉัน"
"......"
"นายรู้นิสัยฉันดีใช่มั้ย?"
"ไม่นะแบม..." เขาหันกลับมาจับตัวผมไว้ "นายเชื่อฉันเถอะ.. ฉันขอแค่ครั้งนี้" แววตาอ้อนวอนของยูคทำเอาหัวใจผมกระตุก..
ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมกำลังนึกถึงความเป็นไปได้ที่คดีครั้งนี้... อาจจะเกี่ยวข้องกับตัวผมเองโดยตรง
หรือว่า...
"นายก็รู้นี่ว่าฉันต้องทำตามที่คุณอาบอกอยู่แล้ว" ผมยิ้มให้เขา "พรุ่งนี้รบกวนด้วยนะ" ยูคที่เหมือนจะนิ่งไปครู่หนึ่งกับท่าทีของผม เขาลอบถอนหายใจแต่สีหน้าก็ยังคงไม่คลายความกังวล
"หิวแล้วล่ะ.." ผมเอ่ยพร้อมยกมือขึ้นลูบท้องตัวเอง เขาเลยรีบพาผมออกไปหาอะไรกินทันที
ขอโทษนะ... แต่ฉันคิดว่าฉันรู้แล้วล่ะ
#ฟิคสั้นมาร์คแบม